ฉันลืมตาขึ้นมาพร้อมกับยกมือขึ้นมานวดที่ขมับเบาๆ สิ่งแรกที่สายตาคู่นี้มองเห็นนั่นคือผ้าคลุมหน้าสีแดงสด ฉันกำลังพยุงตัวเองเพื่อที่จะลุกขึ้น ก้เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรงจนต้องล้มตัวนอนลงอีกครั้ง "คุณหนู!!" มีเด็กสาวที่ดูอายุราวสิบสามสิบสี่ปีรีบวิ่งมาทางฉัน ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาบรรยากาศในห้องนี้ช่างแตกต่างจากโลกที่ฉันเคยอยู่ ฉันชื่อถิงถิงเป็นหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยให้กับท่านนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของจีน เมื่อวานในขณะปฏิบัติหน้าที่ขับรถนำขบวน รถของฉันดันไปเหยียบกับระเบิดเข้า สิ่งสุดท้ายที่รู้สึก คือความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสพร้อมกับกลิ่นเนื้อตัวเองที่กำลังไหม้เกรียม ไม่ต้องสืบก็พอจะเดาได้ว่าฉันคงจะตายไปแล้วอย่างแน่นอน หลังจากนั่งคุยกับอิงเถาสาวใช้ที่มีรูปร่างเหมือนชื่อ ก็ได้ความว่า ร่างนี้เป็นของคุณหนูจื่อเหว่ย สาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง เป็นบุตรีคนที่สองของเสนาบดีกรมการคลัง เมื่ออายุได้สิบห้าพ้นวัยปักปิ่น นางได้ไปหลงรัก ท่านอ๋องหลี่จวิ๋น พบพานเพียงครั้งเดียว ได้พบใบหน้าเขาเพียงครั้งเดียวเมื่อวันไหว้พระจันทร์ นางก็หลงรักท่านอ๋องจวิ๋นจนหมดดวงใจ นางทำทุกอย่างเพื่อให้ท่านอ๋องทราบถึงความในใจ จื่อเหว่ยเป็นบุตรีเพียงคนเดียวในตระกลูจื่อผู้มั่งคั่งและร่ำรวย มีพี่ชายหนึ่งคนเป็นรองเจ้ากรมเสนาบดี น้องชายอีกหนึ่งคนอายุเพียงสิบหกปีได้เป็นถึงราชทูตไปประจำอยู่ต่างแคว้น ส่วนนางที่ปีนี้วัยสิบเจ็ดปี ดรุณีน้อยที่ถึงเวลาออกเรือน บ่มเพาะความรักปักใจที่มีต่อท่านอ๋องจวิ๋นนานถึงสองปี ได้แจ้งแก่บิดาว่านางนั้นต้องการแต่งกับท่านอ๋องจวิ๋นผู้เดียวเท่านั้น จื่อหัว ผู้เป็นบิดามีบุตรสาวที่รักปานดวงใจอยู่ผู้เดียว หากบุตรสาวร้องจะเอาดาวเดือน เขายังจะไปสืบเสาะหามาให้ นับประสาอะไรกับการขออภิเษกกับท่านอ๋ององค์หนึ่ง ในเวลาไม่ช้าฮ่องเต้ก็ออกราชโองการ การอภิเษกระหว่าง ท่านอ๋องจวิ๋นและจื่อเหว่ย เมื่อราชโองการประการออกไป บรรดาชายหนุ่มที่หมายปองจื่อเหว่ยไว้ก็ออกมาร่ำไห้ ร้านเหล้าแน่นขนัดตา ต่างจากสตรีที่ดู ดีอกดีใจ มีทั้งสตรีที่หมายปองบุรุษอื่น ที่ชอบจื่อเหว่ย และสตรีที่เตรียมตัวขอเป็นอนุท่านอ๋องจวิ๋น และแล้วก็ถึงกำหนดวันงานอภิเษก ชาวบ้านสองข้างทางต่างมาชมความหล่อเหลาของเจ้าบ่าว และความงดงามของเจ้าสาว ซึ่งชาวบ้านต่างขนานนามว่าเป็นคู่ยวนยาง คู่สวรรค์สร้าง คู่กิ่งทองใบหยก ทั้งหน้าตาและฐานะ ล้วนแล้วแต่เหมาะสมทั้งสิ้น แต่แล้วทางเดินที่โรยด้วยกลีบดอกไม้ของสตรีงามนามจื่อเหว่ยก็สะดุด เมื่อขบวนที่มารับเจ้าสาวไร้เงาเจ้าบ่าว มีเพียงราชองครักษ์ขี่ม้ามารับแทน ใบหน้างามซีดเผือดภายใต้ผ้าคลุมสีแดง ราชองครักษ์ยื่นจดหมายให้นางฉบับหนึ่ง นิ้วมือเรียวยาวค่อยๆ เปิดจดหมายอ่านด้วยใจระส่ำระสาย นางรีบดึงผ้าคลุมหน้าออกแล้วอ่านจดหมายที่ว่าที่สามีส่งให้ "ข้ามิสามารถปฏิเสธงานแต่งนี้ได้ และในใจของข้ามีคนที่หมายปองไว้แล้ว วันนี้ข้าจะไปรับนางมาแต่งเป็นสนมเอก มิสะดวกไปรับไปเจ้า ขออภัยด้วย" ดวงตาคู่งามเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา จดหมายในมือถูกขยำด้วยโทสะในใจ เหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้.... แต่งอนุเข้าจวนพร้อมนางแล้วยังไปรับอนุผู้นั้นแทนที่จะมารับนางที่เป็นพระชายาเอก!! ริมฝีปากบางเม้มด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ นางไม่ดีหรือ นางไม่คู่ควรกับเขาตรงไหนกัน ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีสตรีใดงดงามกว่านางอีกหรืออย่างไร สองปีที่นางเดินตามเขา เพียงทราบว่าเขาไปที่ใดนางจะแกล้งบังเอิญไปพบเจอ รู้ว่าเขาชอบสิ่งใดไม่ว่าจะหายากเพียงไหน นางก็สืบเสาะหามาให้ ถุงเครื่องหอมที่ปักส่งให้เขาใหม่แทบทุกเดือน.... ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางเพียรพยายามทำ เขามิได้มีใจให้นางแม้แต่เสี้ยวเดียวของหัวใจเลยหรือ.... โลกของจื่อเหว่ยในวันนั้นเหมือนพังทลายลง นางไล่ทุกคนออกจากห้องด้วยใบหน้างามที่อาบไปด้วยน้ำตา นางค้นหายาพิษที่นางซื้อมา...ซื้อมาเพื่อขู่ท่านพ่อ เวลานางต้องการสิ่งใดเพียงหยิบยาพิษขวดนี้ ขู่ว่าจะกินมันเข้าไป ท่านพ่อก็จะรีบไปหาของสิ่งนั้นมาให้ ไม่คิดเลย...ว่าในวันนี้จะได้กินจริงๆ ในใจนางราวกับโดนเข็มเป็นพันๆ เล่มทิ่มแทงหัวใจ เจ้าบ่าวไม่มารับเจ้าสาวเข้าจวนแถมไปแต่งอนุในวันเดียวกันอีก หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน!! ไม่เหลือทางใดให้นางเลือกแล้ว นางมิอาจแบกรับความเจ็บปวดจากรักไม่สมหวังนี้ได้ นางรับไม่ไหว ให้นางตายตกไปเสียดีกว่าต้องทนเห็นบุรุษที่นางรัก ไปรักผู้อื่น นางกรอกยาพิษใส่ปาก พลันแสบร้อนไปทั่วคอหลังจากกลืนไป ทรมานยิ่งนัก แต่ข้า.....จะได้หลุดพ้นแล้ว “หลังจากนั้นคุณหนูก็สลบไปสองชั่วยาม นายท่านพยายามตามหาหมอมาช่วยคุณหนูแต่หมอทุกท่านต่างก็บอกว่าคุณหนูสิ้นลมแล้วเจ้าค่ะ” ฉันหลับตาลงพร้อมยกมือมานวดที่หัวคิ้วเบาๆ จื่อเหว่ยสตรีที่โง่ที่สุดในโลก!!! เพียงผู้ชายคนเดียวก็ฆ่าตัวตาย บัดซบ!!! หน้าตาก็สวย เป็นที่รักใคร่ของบิดา ชีวิตใครจะเลอเลิศเท่าเจ้า อ๋องหลี่จวิ๋น....จื่อเหว่ยคนก่อนอาจจะรักท่านเท่าชีวิต แต่กับจื่อเหว่ยคนใหม่นี้มิใช่ สิ่งที่ทำกับนางไว้ข้าคนนี้จะคืนให้ท่านเอง!!! "จื่อเหว่ย!!!” ฉันมองไปที่ประตูพบชายวัยกลางคนที่หน้าตายังคงฉายแววความหล่อเหลาอยู่ “ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณสวรรค์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้างลูกพ่อ” ฉันมองไปทางชายวัยกลางคนที่กำลังคำนับขอบคุณสวรรค์อยู่ รู้สึกอบอุ่นในใจอย่างประหลาด พร้อมยิ้มขึ้นมาจางๆ ที่มุมปาก ฉันจะเป็นจื่อเหว่ยให้ดีที่สุด ตอบแทนหยดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของชายวัยกลางคนผู้นั้น “ท่านพ่อ...ลูกรู้สึกดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ” “อย่าทำแบบนี้อีกนะลูกพ่อ เจ้าต้องการสิ่งใดพ่อคนนี้จะไปหามาให้เอง ท่านอ๋องจวิ๋นกล้าทอดทิ้งเจ้าในงานแต่งเช่นนี้ พ่อจะไปเอาเรื่องเขาให้ถึงที่สุด!!” ฉันยื่นมือไปจับมือท่านพ่อ พร้อมส่ายหน้า “ลูกมิต้องการแต่งงานกับเขาเเล้ว ท่านพ่อช่วยลูกได้ไหมเจ้าคะ” ท่านพ่อดูตกใจในการกระทำของฉัน ถ้าเป็นจื่อเหว่ยคนก่อนฉันไม่รู้ว่านางจะขอร้องท่านพ่อแบบไหน แต่จื่อเหว่ยคนนี้ไม่อยากเสียเวลากับท่านอ๋องคนนี้อีกแม้แต่นิดเดียว ท่านพ่อยกมือขึ้นมาเเกะเชือกที่มัดมงกุฎหงส์บนหัว พร้อมถอดมงกุฎออกแล้
ตอบแทนที่ฉันดูแลตระกูลลู่ได้ดีขนาดนี้…ด้วยการนอนกับฉันสักครั้งสิคะ ชื่อซูเจินนั้นถูกตั้งขึ้นมาเพราะดวงตาที่สุกสว่างใสของทารกน้อย ความหมายของชื่อนี้ประจักษ์อยู่ใบหน้าของเด็กหญิงแล้ว ความสวยงามที่แท้จริง "อาเจิน...ลูกรู้ใช่รึเปล่าว่าตระกูลหนิงคือคู่ครองที่ดีที่สุด เขาคือตัวเลือกที่ดีที่สุดในยามนี้..." ไม่ใช่ตัวเลือกแต่คือทว่าเขาคือคนที่เธอจะต้องเลือกต่างหาก ตระกูลซูเกิดปัญหานิดหน่อย และปัญหาที่ว่านั่นก็คือเรื่องที่ซูเจินพึ่งจะทรมานบ่าวรับใช้ของเธอจนตายเป็นคนที่สามของเดือนนี้... นี่คือ...ปีศาจน้อยที่มีใบหน้างดงามเย้ายวนใจ ใครจะคาดคิดว่าแขนเล็กๆนั่นจะสามารถใช้จับแซ่ฟาดร่างกายของสาวใช้ซ้ำๆจนตายตกไปด้วยความอำมหิต ความรักที่มารดามีให้หล่อน นั่นคือพรจากสรวงสวรรค์ ซูเจินเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความเจ็บปวดจากบิดาที่พา...สตรีมากหน้าหลายตาเข้าบ้านทุกวัน "ทำไม...เราไม่ฆ่าคุณพ่อล่ะคะแม่ ทำไมถึงยังยินยอมให้ผู้ชายคนนั้น...อยู่ในบ้านหลังนี้อีก" นี่คือคำถามที่บุตรสาวตัวน้อยเฝ้าถาม...ผู้เป็นแม่ และที่น่าตลกนั่นคือ คนเป็นแม่เช่นเธอไม่รู้จะบอกกล่าวบุตรสาวว่าอย่างไรดี? ซูเจินเริ่มฆ่าสาวใช้คนแรก...ที่นอนกับพ่อของเธอ และแน่นอนเพราะว่าเธอคือบุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลซู นั่นทำให้ไม่มีใครกล้าจะปริปากบอกเกี่ยวกับสาเหตุการตายของสาวใช้ที่กล้าปีนเตียงนายท่านซู ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ที่พอเห็นเลือดค่อยๆกระจายตามพื้นแล้วมันทำให้ซูเจินรู้สึกดี ความหลงใหลเกิดขึ้นมาในใจอย่างห้ามไม่อยู่ หลงใหลใบหน้าที่บิดเบี้ยวของสาวใช้ตรงหน้าเมื่อถึงช่วงเวลาที่ลมหายใจสุดท้ายเดินทางมาถึง... อ่า...นี่มัน นางร้ายสุดๆไปเลยไม่ใช้รึไง การฆ่าคนต้องติดคุกและซูเจินคือผู้หญิงที่ถือได้ว่าชั่วช้า นางฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาและไม่สนใจเสียงร้องขอชีวิตจากพวกสาวใช้เหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย... นี่มัน...บ้าบอมากทีเดียว นิยายแนวเกิดใหม่เธอคนนี้อ่านมาไม่รู้จักกี่เรื่อง และแน่นอนรวมถึงเรื่องนี้ด้วย ค่ำคืนเมื่อวสันต์ผลิบาน นิยายอิโรติกดราม่าที่มียอดดาวน์โหลดกว่าสองล้านดาวน์โหลด นางเอกชื่อว่าลู่หลิน...เป็นเด็กสาวที่ถูกแม่เลี้ยงทรมานสารพัด พอพบเจอกับพระเอกที่เป็นทหารยศนายพล แน่นอนว่าพระเอกก็ฆ่าแม่เลี้ยงใจร้ายของลู่หลินที่มีชื่อว่าซูเจินในทันที "คุณหนู นายหญิงให้มาเรียนเชิญไปตัดชุดแต่งงานค่ะ" เธอพึ่งลืมตาขึ้นมาก็ต้องพบกับเรื่องราวที่ชวนปวดหัวไม่น้อย และแน่นอนหากเธอจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่เรียกว่าความตาย สิ่งที่ง่ายดายที่สุดคือการปฏิเสธการงานแต่งในครั้งนี้ลงเสีย..... เนื้อเรื่องมันอาจจะเปลี่ยนไป และเธอก็จะได้ไม่ตายไปเหมือนเนื้อเรื่องเดิม แต่ทว่าเธอไม่อาจทำเช่นนั้นได้...นั่นก็เพราะว่าเมนของเธอคือลู่ชิง พ่อของนางเอกเรื่องนี้!! เธอเฝ้าเขียนคอมเมนท์ด่าซูเจินมานับไม่ถ้วนที่หญิงชั่วผู้นั้นกล้าหักหาญน้ำใจเมนของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า!!! ต่อให้เลือกเส้นทางนี้ ปลายทางมันจะเป็นความตายก็ไม่เป็นไร เพียงขอให้เธอได้ใช้ชีวิตอยู่กับคุณลู่ก็เพียงพอแล้ว... ถึงตายก็ยินยอม!! . . . . .
ปกติแล้วนางเอกจะต้องร่วมมือกับพระเอกเพื่อกำจัดตัวร้าย แต่นี่เธอต้องร่วมมือกับตัวประกอบเพื่อเอาชนะสามีของเธอ!!! เธอตายไปแล้วครั้งหนึ่ง…ทว่าก่อนตายเธอได้วิงวอนต่อพระเจ้าขอให้ท่านคุ้มครองลูกสาวที่เป็นดั่งดวงใจของเธอ… แต่พระเจ้าดันส่งเธอย้อนเวลากลับมาตอนที่เธอยังไม่แต่งงาน…. ซึ่งนั่นมันก็ดี…เธอจะจัดการแก้ไขทุกเรื่องที่ผิดพลาดในอดีตรวมทั้งเธอจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูล “คำถามละสามเหรียญทอง…..” คามิเลียขมวดคิ้ว.. “ท่านเป็นนักเวทย์หรือว่านักต้มตุ๋นกันแน่!” “เจ้าไม่รู้หรอกคามิเลียว่าการทำนายแต่ละครั้งนั้นสูญเสียพลังเวทย์มากมายแค่ไหน!!” คามิเลียลอบมองแอสรันก่อนที่เธอจะวางเหรียญทองบนโต๊ะ “คำถามเดียวเท่านั้นค่ะ…ข้าจะได้เจอกับคาร่าลูกสาวของข้าอีกไหม..สมมุติว่า…ข้าแต่งงานใหม่แล้วข้ามีลูกเด็กคนนั้นจะใช่คาร่าไหมคะ?” “อืม..รอแปบ!” แอสรันเริ่มต้นร่ายเวทย์…ล้อมรอบตัวของคามิเลีย “ฟังนะคามิเลีย…หากเจ้าอยากเจอคาร่าลูกสาวของเจ้าอีก…เจ้าก็จะต้องมีอะไรกับท่านดยุคไคโรเท่านั้น….” คามิเลียสลดลงทันที….เธอคิดถึงลูกสาวของเธอแทบขาดใจแต่เธอไม่อยาก…กลับไปใช้ชีวิตในฐานะภรรยาของชายผู้นั้นอีกแล้ว “ข้า..คงจะหมดหนทางได้เจอลูกสาวแล้วสินะ….” “นี่เหตุใดถึงทำหน้าราวกับจะตายเช่นนั้นเล่า!!!” “ลูกคือทุกสิ่งทุกอย่างของข้า…เมื่อรู้ว่าจะไม่ได้เจอนางแล้ว…ข้าก็รู้สึกราวกับโลกของข้านั้นพังทลายลง….” “นี่ฟังนะคามิเลีย…คนเรามีอะไรกันไม่เห็นจำเป็นต้องแต่งงานกันเลย…เจ้าก็แค่ปลอมตัวนิดหน่อย…ข้าได้ยินมาว่าที่คฤหาสน์ไคโรจะจัดงานเลี้ยงเพื่อหาว่าที่ดัชเชส…เจ้าก็ปลอมตัวเข้าไป…..ซะก็สิ้นเรื่อง” “เจ้ากล่าวเหมือนกับว่าการเข้าไปในคฤหาสน์ไคโรเป็นเรื่องง่าย…” “คามิเลียเจ้าอย่าลืมสิว่าสหายของเจ้าเป็นใคร!!…ข้าคือจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่นะ!!!…แค่พาผู้ติดตามเข้าไปเหตุใดจะทำไมได้” คามิเลียถอนหายใจ….การเสี่ยงในครั้งนี้อาจจะทำให้เธอได้เจอลูกสาวอีกครั้ง…. เอาวะ!!..เป็นไงเป็นกัน…เธอยอมเสี่ยงไปขืนใจอดีตสามีสักครั้ง!
หากไม่ยอม ก็แค่..ทำให้ยัยเด็กนั่นรักเขาก็ได้นี่ ไม่เห็นจะยากเลย! "แค่ส่งข้าวใช่ไหมคะ? หนูไปส่งแทนป้าก็ได้นะ" "ขอบคุณมากนะหนูไอรีส ห้องสี่ศูนย์หนึ่งนะจ๊ะ" ไอรีสส่งยิ้มให้ป้าใจ พร้อมกับรับถาดอาหารมาจากมือของป้า เธอเดินเข้าไปในโรงแรมอย่างคุ้นเคย ก่อนจะกดลิฟต์เพื่อเดินทางขึ้นไปชั้นสี่ สี่ศูนย์หนึ่ง "ก๊อก!! ก๊อก!!" "อาหารมาส่งค่ะ!" "...เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อก" เธอดันประตูเข้าไป มีเสียงราวกับว่าเจ้าของห้องกำลังอาบน้ำอยู่ เธอวางถาดอาหารบนโต๊ะ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป "เท่าไหร่!" "คะ?" เขาเดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าขนหนูพันส่วนล่างเอาไว้ บนตัวของเขามันมีรอยสักมากมาย อีกทั้งบนใบหน้าตรงช่วงแก้มยังมีรอยแผลถูกฟันเป็นทางยาวถึงจมูก ถึงจะดูน่ากลัวแต่ปฏิเสธเสน่ห์ที่มากมายของเขาไม่ได้เลย.. รอยแผลเป็นนี้มิได้ดูเป็นตำหนิ แต่มันช่วยเสริมให้เขาดูน่าเกรงขามขึ้นมาต่างหาก "...ค่าอาหารนี่ เท่าไหร่?" อ่า.. เหมือนกับว่าเธอจะไม่ได้ถามป้าใจเลยว่าค่าอาหารนี่มันกี่บาท "ขอโทษด้วยนะคะ พอดีว่าหนูลืมหยิบบิลค่าอาหารมาด้วย เดี๋ยวจะรีบเอามาให้ใหม่นะคะ!" ไอรีสหมุนตัวเพื่อที่จะเดินออกไป แต่เขาเดินเข้ามาคว้าแขนเธอเอาไว้ พร้อมกับหยิบเงินแบงก์พันให้เธอสองใบ "ไม่ต้องมาอีก..." "อ่า.. ขะ.. ขอบคุณค่ะ" เธอรับเงินนั่นมาพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณ แต่พอเธอจะเดินจากไปก็ยังไม่ยอมปล่อยมือที่จับแขนเธอ "เป็นเด็กเสิร์ฟงั้นเหรอ?" "ไม่ใช่ค่ะ แค่มาช่วยเฉยๆ บางทีคุณควรจะปล่อย..มือหนู" เขาปล่อยมือเธอออก ไอรีสถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอก้มหน้าให้เขาอีกครั้ง พร้อมกับเดินไปที่ประตู "กริ๊ก!" ในขณะที่เธอจับลูกบิดประตูเขากลับเดินมาด้านหลังแล้วล็อกกลอน เขายืนอยู่ด้านหลังโดยที่ช่องว่างระหว่างเรามันไม่ถึงคืบด้วยซ้ำ! และ..ตอนนี้เธอกำลังหวาดกลัว "อ่า..มันแย่นิดหน่อย ตรงที่เธอปลุกมันให้ตื่นขึ้นมา..." ปลุกอะไรกัน ปลุกอารมณ์โมโหของเขางั้นเหรอ? เธอพูดอะไรผิดกันนะ เธอก็แค่เอาข้าวมาส่งตามปกติ "และ..เธออาจจะต้องเป็นคนช่วย ให้มันสงบลง" ไอรีสหมุนตัวมามองหน้าของเขา "บางที.. หากว่าคุณกินข้าว คุณอาจจะสงบลงก็ได้นะคะ" เธอคิดว่าเธอเป็นบ่อยๆ ในตอนที่หิวมากๆ เธอจะโมโห และนั่นเรียกว่าโมโหหิว เขาคงจะโกรธที่เธอเอาข้าวมาส่งช้าสินะ! ไอรีสถอนหายใจอย่างโล่งอก "ไม่เป็นไร หนูเข้าใจคุณดี มานี่สิคะ" "ห๊ะ!?" เธอกล่าวพร้อมกับจูงมือเขาไปนั่งบนโซฟา "แกงส้มไข่ปลานี่อร่อยมากเลยค่ะ คุณต้องลองชิมฝีมือป้าใจอร่อยไม่แพ้ใครแน่นอน!" ยัยเด็กนี่คิดว่าคำพูดของเขาเป็นคำพูดที่เธอสามารถล้อเล่นได้งั้นเหรอวะ!! "อ้าปากสิคะ" เธอยกช้อนมาจ่อที่ปากของเขา พร้อมกับมองเขาด้วยสายตาที่คาดหวัง ให้ตายเถอะ! เขากำลังจะพ่ายแพ้ให้กับสายตาที่ไร้เดียงสานั่น เขาอ้าปากเพื่อให้เธอตักข้าวป้อนเขา "ชื่ออะไร?" "ไอรีสค่ะ คุณดู..ใจดีกว่าที่คิดนะคะ" "หึ ด่วนสรุปไปรึเปล่าสาวน้อย เธอเห็นบนที่นอนนั่นไหม มันมีปืนและมีดวางอยู่ ฉันอาจจะทำร้ายร่างกายเธอก็ได้.." เธอไม่เข้าใจเลยว่าเขาจะพูดเพื่อตอกย้ำให้เธอกลัวเขาทำไมกัน!! "อร่อมไหมคะ?" "อืม ก็พอกินได้" "อย่างนั้นอารมณ์ของคุณ สงบลงแล้วใช่ไหมคะ พอดีหนูนัดเพื่อเอาไว้ที่ร้านอาหาร หนูคงจะต้องไปแล้ว" "แล้วถ้าไม่ให้ไปล่ะ?" เธอพึ่งจะเคยเจอคนเช่นนี้เป็นครั้งแรก... "แล้วคุณจะให้หนูอยู่กับคุณทำไมคะ ถ้าคุณเบื่อที่จะอยู่คนเดียว คุณลงไปด้านล่างพร้อมกับหนูไหม ที่นี่มีผับติดริมทะเลด้วยนะคะ" ฟาริคมองหน้าของไอรีสอย่างถูกใจ ยัยเด็กนี่ช่างพูดดีจริงๆ "ไม่ไป และก็ไม่ให้เธอลงไปด้วย!" วิ่งหนีไปเลยดีไหมนะ... ตอนนี้เธอนั่งอยู่ที่พื้นหากว่าวิ่งไปที่ประตู เขาอาจจะวิ่งตามไม่ทันเพราะเขานั่งอยู่บนโซฟา ฟาริคเอื้อมมือมาจับมือของไอรีสเอาไว้ "คิดว่าจะวิ่งหนีทันงั้นเหรอ? มานั่งตรงนี้สิ" เขาออกแรงดึงเบาๆ ให้เธอเดินมานั่งลงข้างเขา "กินสิ บอกว่าอร่อยไม่ใช่รึไง?" อ่า บางทีเขาอาจจะไม่ได้เลวร้าย อย่างที่เธอคิดก็ได้นะ ไอรีสหยิบจานขึ้นมาก่อนเธอจะตักข้าวใส่จานและนั่งกินข้าวหน้าตาเฉย "ไม่กลัวแล้วงั้นเหรอ?" เธอส่ายหน้าเบาๆ "หนูหิวมากกว่าค่ะ และก็คิดว่าคุณคงจะเหงา มาเที่ยวคนเดียวโดยไม่มีเพื่อนแบบนี้ ไม่มีใครคบงั้นเหรอคะ?" ฟาริคหัวเราะ เขาหัวเราะเสียงดังอย่างลืมตัว วันนี้เขามาเที่ยวงานวันเกิดลูกน้องของเขา แดนเนียล เขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของที่นี่ พร้อมกับเป็นคนคุมพื้นที่แถวนี้ทั้งหมด ฟาริค คือมาเฟียที่ปกคลุมคนจำนวนมาก มีธุรกิจที่เป็นทั้งสีขาว สีเทา และสีดำ ที่วันนี้เขาไม่มีบอดี้การ์ดเพราะเขาสั่งให้เจ้าพวกนั้นลงไปสนุกที่ผับ ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันหยุดเขาก็เลย ใจดีกับลูกน้องสักวัน ยัยเด็กนี่กล้าว่าเขาไม่มีคนคบงั้นเหรอ? "อายุเท่าไหร่แล้ว" "หนูไม่คิดว่าเราสนิทกันจนขนาดที่หนูจะต้องบอกเรื่องส่วนตัวกับคุณนะคะ อีกอย่างคุณไม่ควรชวนหนูคุยเวลาที่หนูกำลังกินข้าว มันเสียมารยาทนะคะ!" . . .
เกิดสงครามขึ้นมาเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว เป็นสงครามระหว่างมนุษย์และจอมมาร และแน่นอนว่ามนุษย์จะไปสู้พวกปีศาจได้ยังไง ในเมื่อมนุษย์เป็นฝ่ายแพ้ในทุกสิบปีทางฝั่งมนุษย์จะต้องส่งมอบหญิงสาวชนชั้นสูงที่ถือครองพรหมจรรย์ไปให้ท่านจอมมารเพื่อแสดงความจงรักภักดีใช่..สตรีที่กำลังเดินทางไปที่นั่นมันคือฉันเองมิลลา นิมฉันจดจำชาติที่แล้วของตัวเองได้อย่างคร่าวๆถึงเรื่องราวของที่นี่ว่ามันคือนิยายเรื่องหนึ่ง ซึ่งนิลลาคือตัวประกอบคนหนึ่งซึ่งไม่มีบทบาทใดๆในเรื่องนี้เลย ส่วนพระเอกคือนักบุญศักดิ์สิทธิ์ นางเอกคืออัศวินที่จะไปปราบจอมมาร เรื่องพระเอกนางเอกฉันไม่สนใจหรอกที่สนใจตอนนี้ก็คือฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหนกัน?นิลลาคือสตรีผู้งดงามที่แต่งงานกับเคาน์อินคา มอแอธ ชายที่อายุห่างจากฉันสามปีแต่ว่าหมอนั่นคือคนสารเลวผู้หนึ่ง เขาแต่งงานกับฉันเพียงเพราะว่าแอสลาสพี่ชายของเขาชอบฉัน ชีวิตที่ต้องเป็นเคาน์เตสมอแอธมันเลวร้ายสุดๆ ห้าปีเต็มที่ฉันอดทนและในที่สุดฉันก็ได้หย่ากับเขา ทว่าในชนชั้นสูงการถูกหย่านั้นถือว่าเป็นการเสื่อมเสียเกียรติและมันยิ่งเสียเกียรติมากที่สุดเมื่อไอ้เวรอินคาประกาศออกไปว่าในระยะเวลาห้าปีเขาไม่เคยร่วมเตียงกับฉันเลยเพราะฉันมันไม่มีอะไรดีให้เขามามัวเสียเวลาด้วยแน่นอนว่าชีวิตเส้นทางรักของฉันจบสิ้นลงตรงนั้นเพราะต่อให้งดงามมากแค่ไหนแต่หากมีข่าวลือแบบนั้นก็ไม่มีใครมาชายตามองฉันหรอก นี่ฉันจะต้องตายโดยที่ยังไม่ได้มีค่ำคืนสุดเร่าร้อนกับใครสักคนเลยอย่างงั้นเรอะ! ชีวิตมันจะเฮงซวยมากไปแล้วและไม่นานก็มีราชโองการประกาศออกมาจากองค์จักรพรรดิว่าฉัน เลดี้มิลลา นิม ถูกรับเลือกให้เป็นตัวแทนของจักรวรรดิเพื่อส่งเครื่องบรรณาการไปให้จอมมาร...โอเค อย่างน้อยก่อนตายก็ได้มีค่ำคืนสุดเร่าร้อนกับจอมมารไม่ใช่รึไงกัน แล้วสตรีมีเยอะแยะทำไมจะต้องเป็นฉันด้วยนะ หวังอย่างยิ่งว่านี่คงจะไม่ใช่ฝีมือของอินคาหรอกใช่ไหมรถม้าจอดที่ประตูชายแดนระหว่างมนุษย์และปีศาจ ทหารพวกนั้นใช้ให้ฉันเดินเข้าไปข้างในนั้น ด้วยตัวเองและด้วยตัวคนเดียว ไม่มีใครตามมาและไม่มีใครคิดจะเดินมาส่งเลยช่วยไม่ได้เพราะหากฉันหนีไปท่านพ่อท่านแม่จะต้องเดือดร้อน สาบานเลยว่าฉันจะทำตัวดีๆรับใช่ท่านจอมมารเพื่อให้เขาเมตตาและสงสารให้ข้าวให้ที่ซุกหัวนอน.."ยินดีต้อนรับเข้าสู่เมืองปีศาจค่ะ..""..."ฉันกำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ก้าวเท้าเพื่อวิ่งหนีเมื่อพบกับ..ปีศาจรูปร่างคล้ายปลาหมึกตัวสีชมพูที่มายืนต้อนรับ กว่าจะหาสติตัวเองเจอก็พบว่าฉันกำลังยื่นมือไปจับหนวดหมึกเส้นหนึ่งเพื่อกล่าวทักทาย"สวัสดีค่ะ ข้าชื่อมิลลา""อ่า ท่านมิลลาคงจะดีหากว่าท่านปล่อยมือออกจากดวงตาของข้า ตามมาสิคะข้าจะพาท่านเดินเข้าไปด้านใน"ดวงตาอย่างนั้นรึ ก็เห็นว่ามันคือหนวดปลาหมึกชัดๆ!"ท่านจอมมารเป็นคนยังไงอย่างนั้นหรือคะ คือข้าอาจจะต้องเตรียมตัว.."ปีศาจหมึกหัวเราะเบาๆ"ท่านจอมมารเป็นลูกครึ่งค่ะ ครึ่งปีศาจครึ่งมนุษย์ ข้าไม่อยากจะกล่าวเช่นนี้เลยแต่ว่าท่านจอมมารนั้นมีใบหน้าที่อัปลักษณ์มาก ท่านเองก็จะต้องทำใจในส่วนนี้"ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก อัปลักษณ์อย่างนั้นหรือ..เรื่องนั้นมิได้เป็นปัญหาสักเท่าไหร่ เพราะหากว่าเขาหล่อเหลาแต่นิสัยเหมือนอินคานั่นมันคงจะแย่มากๆ หวังว่าเขาจะมีความเป็นมนุษย์มากกว่าปีศาจก็แล้วกัน"นี่คือแมดเดนค่ะ เขาคือหัวหน้าทหารของที่นี่ แน่นอนว่าเขาคือปีศาจที่หล่อเหลาที่สุดในดินแดนแห่งนี้ ท่านมิลลาห้ามหวั่นไหวไปกับเขานะคะ เพราะว่าท่านคือเจ้าสาวของท่านจอมมาร อีกอย่างเหล่าปีศาจสาวที่นี่คลั่งเขามากท่านคงไม่อยากจะมีเรื่องกับปีศาจพวกนั้นหรอกใช่ไหมคะ"เบื้องหน้าของมิลลามันคือโทรลล์หินตัวใหญ่ ที่สวมชุดเกราะในแบบพิลึกๆ นี่คือหล่อที่สุดแล้วอย่างนั้นเรอะ!! สาบานได้เลยว่าฉันจินตนาการใบหน้าที่แสนอัปลักษณ์ของท่านจอมมารไม่ออกเลยจริงๆ"โอ้..ข้าไม่มีทางเข้าแถวต่อคิวแย่งเขาจากปีศาจสาวที่นี่อย่างแน่นอนค่ะ มะ..ไม่มีทางอย่างแน่นอนเชื่อใจได้เลย"มันแย่เล็กน้อยตรงที่เธอไม่รู้ว่าปีศาจปลาหมึกเบื้องหน้ากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ นางพาฉันเดินเข้ามาด้านในปราสาท ก็พบกับภาพวาดจำนวนมากที่ถูกแขวนเอาไว้ที่ผนัง"ข้าคิดว่าท่านมิลลาอาจจะต้องการ การปรับตัวเพื่ออยู่ที่นี่วันไหนที่ท่านพร้อมจะมอบร่างกายของท่านให้ท่านจอมมาร ท่านสามารถแจ้งข้ามาได้เลยนะคะ"เท้าของฉันหยุดอยู่ตรงภาพวาดที่แขวนอยู่บนผนัง ใบหน้านี้มันอะไรกัน..ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นใครที่หล่อเหลาขนาดนี้มาก่อนเลย คนวาดนี่คือขายวิญญาณเพื่อวาดภาพนี้ไปแล้วแน่เลย ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่สามารถสร้างสรรค์รูปวาดของคนที่หล่อเหลาขนาดนี้ออกมาได้หรอก"ขอบคุณค่ะที่เข้าใจ ว่าแต่ในรูปนี้คือใครกันเหรอคะ?"ปีศาจหมึกเดินเข้ามาใกล้ๆมิลลา"อ๋อ นี่ก็คือท่านจอมมารยังไงล่ะคะ ถึงท่านจอมมารจะอัปลักษณ์แต่ข้ารับรองได้เลยว่าท่านจอมมารนั้นทั้งใจดีและมีเมตตา.."อัปลักษณ์อย่างงั้นเรอะ!! เจ้าหมึกชุบสีตัวนี้กล้าบอกว่าคนที่หล่อเหลาเช่นนี้อัปลักษณ์ได้ยังไงกัน!!"วันนี้..วันนี้เลยค่ะ"ปีศาจหมึกมองใบหน้าที่งดงามของมิลลาอย่างไม่เข้าใจ"วันที่ข้าจะมอบร่างกายให้ท่านจอมมารไงคะ ช่วยเลื่อนมาเป็นวันนี้ได้เลยค่ะ!!""เอ๋?"....ไม่ได้เขียนในแนวนางเอกขายขำมานานมากๆแล้ว เรื่องนี้เป็นแนวเบาสมองที่ดราม่าน้อยๆพอกรุบกริบ(ดราม่าน้อย = )ฝากกดติดตาม กดหัวใจ❤️ให้ด้วยนะคะ
ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีสิมิเกล โอบกอดข้าเอาไว้ให้แน่นเท่าที่แขนเล็กๆของเจ้าจะมีแรง พันธสัญญาผูกวิญญาณคือการผูกจิตชนิดหนึ่ง นี่คือเวทย์ขั้นสูงที่องค์จักรพรรดินิยมใช้กับองครักษ์หรือแม้แต่ขุนนางใต้บังคับบัญชา ผู้ถูกผูกวิญญาณจะทำตามคำสั่งของเจ้านายอย่างไม่มีทางปฏิเสธได้ นิยมใช้ควบคู่กันไปกับวาจาศักดิ์สิทธิ์และผู้ที่สามารถทำการผูกวิญญาณได้ คือคนในตระกูลไฮริชน์เท่านั้น! เขามิได้ใช้มันกับองครักษ์คู่ใจอย่างที่ควรจะเป็นแต่เขาใช้มันกับ\'เธอ\' นั่นเป็นเพราะชีวิตที่เหลืออยู่มิอาจขาดเธอได้.. รักข้าให้มากขึ้นอีกสิ ให้ความรักที่มีให้ข้านั้นซึมลึกลงไปจนถึงชั้นกระดูก ฝังลึกหยั่งรากลงไปในจิตวิญญาณที่เศร้าหมองนั่น ชีวิตของข้านั้นไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ข้าต้องการเพียงแค่ความรักของเจ้ามาหล่อเลี้ยงจิตใจที่แหลกสลายดวงนี้ก็เท่านั้น . . มันผิด สิ่งที่ท่านเคาน์ไฮริชน์กำลังกระทำนั่นช่างเลวร้ายเหลือเกิน \'เธอ\'กำลังถูกกลืนกินไปช้าๆและเขาที่เป็นนักบุญศักดิ์สิทธิ์จะเพิกเฉยต่อการกระทำเช่นนี้มิได้!!! ต้องหาทางช่วยเธอออกมา ช่วยเธอออกมาจากความเจ็บปวดเหล่านั้น... ธีโอดอร์เก็บคัมภีร์บทสวดเอาไว้ในลิ้นชัก เขาตั้งมั่นในใจเอาไว้แล้วว่าเขาจะช่วยมิเกลออกมาจากท่านเคาน์ผู้มืดมิด . . ความรักงั้นหรือ? เหตุใดต้องมีความรักในเมื่อความสุขในชีวิตมันสร้างขึ้นมาได้จากกิจกรรมเข้าจังหวะบนเตียง หากเรามีความรักเราจะนอนกับสตรีได้เพียงคนเดียวแต่หากว่าเราไม่มีคนรัก แน่นอนว่าเราจะสามารถนอนกับใครก็ได้ มากเท่าที่ใจต้องการ สิ่งที่เปลี่ยนความคิดของบุรุษที่บูชาเรื่องบนเตียงเช่นเขา นั่นก็คือเสียงด่าที่แสนจะแสบแก้วหูของเธอ บัดซบชะมัด!!! ทำไมเขาจะต้องติดโรคที่น่ารังเกียจนี่มาด้วยนะ และคนที่มาคอยรักษาเขาคือสตรีที่งดงามยากจะละสายตาเช่นมิเกลเนี่ยนะ!! เธอต้องมาคอยเช็ดและทำความสะอาดความเป็นชายของเขา ที่ตอนนี้มันบวมเบ่งจนน่าสงสาร...แล้วเขาจะยังเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้อีก!!!" . . . ฝากกด❤️+กดเข้าชั้นให้ด้วยนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ ทั้งคนเก่าที่ติดตามกันมาและคนใหม่ที่ผ่านมาเห็น❤️
สิงโตมันไม่มีฤดูผสมพันธ์ุที่แน่นอนหรอกนะ เพราะฉะนั้นมันจึงสามารถผสมพันธ์ุได้ทุกที่ทุกเวลา เจ้าแน่ใจไหมเซียร่าว่าร่างกายเล็กๆของเจ้าจะรับความต้องการของข้าไหว? “หลังจากนั้นเจ้าชายและเจ้าหญิงก็จะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข..” แววตาของเซียร่าวัยเก้าขวบเป็นประกายเจิดจ้าในทุกครั้งที่แม่นมเล่านิทานก่อนนอนให้เด็กหญิงฟัง “ว้าว ฟังดูสวยงามจังเลยนะคะแม่นม” หญิงชรายกมือขึ้นมาลูบผมเด็กน้อยเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “คุณหนูเองก็จะมีเจ้าชายมารับออกไปจากที่นี่เช่นเดียวกัน เมื่อถึงเวลานั้นจะต้องตอบรับการขอแต่งงานที่แสนโรแมนติกนั้นเอาไว้ให้ได้นะคะ” เซียร่าคือลูกสาวของวีรบุรุษสงคราม เด็กน้อยแสนงดงามถูกกักขังอยู่ในคฤหาสน์แลนด์ เธอเรียนรู้เรื่องมารยาทตามคำสั่งของบิดา และร่ำเรียนอย่างหนักเพื่อให้ยืนอยู่ในจุดเดียวกับชั้นสูงพวกนั้นเพราะว่าเดิมทีพ่อของเธอเป็นเพียงแค่สามัญชนเท่านั้น เธอรู้ดีว่าที่ท่านพ่อสั่งให้เธอเรียนเรื่องของชนชั้นสูงมากมายขนาดนั้นเพราะว่าท่านพ่อไม่อยากให้เธออับอายเมื่อเปิดตัวเข้าสู่สังคม โลกที่เซียร่ามองเห็นมันคือโลกที่มองผ่านทางหนังสือเท่านั้น เธอไม่สามารถก้าวเท้าออกไปจากคฤหาสน์แห่งนี้ได้ กำแพงที่สูงชันพวกนั้นคือสิ่งกักขังหญิงสาวให้อยู่ในโลกที่พ่อของเธอสร้างขึ้นมา สิ่งที่พอเยียวยาหัวใจของเซียร่าคือนิทานก่อนนอนของแม่นมและหนังสือนิยายที่ฝากสาวใช้ซื้อมาให้เท่านั้น การได้ออกไปจากที่นี่มันคือความหวังที่เซียร่าเลิกหวังไปแล้ว ทว่าเมื่อเธออายุได้ยี่สิบปี ถึงแม้ว่ามันจะเป็นช่วงอายุที่เลยวัยแต่งงานมานานมากแล้ว ด้วยความดีความชอบของแม่ทัพแลนด์องค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้พาบุตรีของผู้กล้าเข้าไปในพระราชวัง เพื่อแต่งงานกับองค์รัชทายาท ทั้งที่จะได้ออกจากคฤหาสน์แลนด์อย่างที่หวัง แต่ข่าวลือเรื่องความเจ้าชู้ขององค์รัชทายาทมันคอยตอกย้ำว่าชีวิตของเธอมันคงไม่ได้แตกต่างจากเดิมสักเท่าไหร่ เธอแค่เปลี่ยนไปอยู่ในพระราชวัง ไปอยู่ในกรงขังที่ใหญ่มากกว่าเดิมเท่านั้นเอง โอกาสมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากอยากจะตามหาความรักและอยากเป็นอิสระเธอจะต้องหนีไปในระหว่างที่เดินทางไปยังพระราชวัง ใครเล่าจะล่วงรู้ว่าการหลบหนีในครั้งนี้จะทำให้เธอได้พบเจอกับสิงโตที่แสนอบอุ่น เสือที่แสนเอาแต่ใจและงูพิษที่แสนเจ้าเล่ห์ "ยังไม่ตายใช่ไหม?" นี่คือรักแรกพบที่อยู่ในนิยายที่เธอเคยอ่านใช่ไหมนะ ปกติแล้วตัวเอกก็อาจจะไม่ได้รักกันตั้งแต่ต้นเรื่องอยู่แล้วนี่ เขาคือผู้ที่ช่วยชีวิตของเธอ และเซียร่าคิดว่าเธอกำลังตกหลุมรักชายเบื้องหน้าเข้าให้แล้ว "หากไม่อยากอยู่กับเขา ก็แค่มาหาข้า.." เขาคือพี่ชายของเพื่อนคนแรกที่เธอได้รู้จัก เป็นเสือจอมกะล่อนที่มีใบหน้าชวนเพ้อฝัน เธอไม่มีทางหลงกลเขาอย่างเด็ดขาด "มัวทำอะไรอยู่ ถอดเสื้อของเจ้าออกได้แล้วเซียร่า" หากจะนับว่าเสือเป็นจอมกะล่อน เช่นนั้นเจ้างูพิษตัวนี้ก็คงจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่แสนเอาแต่ใจสินะ "ข้าไม่คิดถอดเสื้อผ้าออกในยามที่อยู่ตามลำพังกับเจ้าอย่างแน่นอน!" ในบางทีคนรักที่เธอเพ้อฝันมาเนิ่นนาน อาจจะมาพร้อมกันทีเดียวสามคนเลยก็เป็นได้! . . . ฝากกดติดตาม กดหัวใจ❤️ กดเข้าชั้นให้ด้วยนะคะ   คำเตือน เรื่องนี้เป็นแนวฮาเร็มที่นางเอกมีคนรักมากกว่าหนึ่งคน ใครที่ไม่ชอบหรือว่าไม่โอเคกับแนวนี้ผ่านได้เลยนะคะ มีฉากการร่วมเพศกับตัวเอกที่เป็นงูที่มีสององคชาตด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ เป้าหมายของฉันคือการเป็นภรรยาเจ้าป่า ❌ เป้าหมายของฉันคือการเหมาคนหล่อหมดป่า✅
เรือนผมสีบลอนด์ทองของเอวาสยายไปบนที่นอน ที่หลังเปลือยเปล่าของเธอนั้นชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ ผ้าคลุมผมและชุดนักบุญของเธอถูกกระชากออกไปกองที่พื้น เธอยกมือขึ้นปิดปากเพื่อไม่ให้ตัวเองส่งเสียงที่น่าอายออกมา ดวงตาทั้งสองข้างของเธอรื้นไปด้วยน้ำตา เขาก้มลงมาจูบซับน้ำตาให้เธอ สัมผัสที่อ่อนโยนของเขาทำให้เอวารู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลาย เขายังคงส่งมอบความหฤหรรษ์ให้เธอจากจุดที่เชื่อมต่อกัน เอวาพยายามลืมตาขึ้นมามองใบหน้าเขา แต่ทว่าฤทธิ์ของไวน์องุ่นที่เธอดื่มฉลองในวันขอพรพระเจ้านั้นทำให้ดวงตาของเอวาพร่ามัว เขาโอบกอดเธอแน่น ทุกสัมผัสที่เขามอบให้มันช่างอ่อนหวานและอ่อนโยนจนเอวาแทบจะหลอมละลายภายใต้ร่างของเขา “…เอวา” เขากระซิบเรียกเธอซ้ำๆ เพื่อจะบอกกล่าวแก่เธอว่าเขารู้สึกดีเพียงใด เอวายื่นมือขึ้นไปโน้มใบหน้าเขาลงมาก่อนจะจุมพิตเขาเบาๆ เขายังคงตามใจเธออย่างว่าง่าย เธออยากทำเช่นใดกับร่างกายเขาก็ย่อมได้ เขาไม่แม้แต่จะขัดใจเธอ เอวากอดรับความอบอุ่นที่เขามอบให้เธอ…ครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้เธอจะมองเห็นใบหน้าเขาเลือนรางทว่าสัมผัสที่เขามอบให้เธอ…เอวาสัมผัสได้อย่างชัดเจน ค่ำคืนที่หวานล้ำขอเอวาผ่านไปอย่างช้าๆ จวนเจียนจะขาดใจ “พรึบ!!!” เอวาเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว เธอก้มมองภายใต้ผ้าห่มสีขาว ไม่ได้….ใส่เสื้อผ้าสักชิ้น…. เอวาเหลือบมองไปข้างเตียง เธอเอาผ้าห่มห่อตัวเพื่อเดินลงมาหยิบเสื้อผ้าไปใส่ เอวายกชุดนักบุญของเธอขึ้นมา ด้านหลังขาดวิ่นจนผ้าที่เย็บไว้แทบจะแยกออกจากกัน…. ส่วนกระโปรงด้านในของเธอถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแทบจะไม่เหลือซาก “…..” เอวายกมือขึ้นตบที่หน้าผากตัวเอง ความรู้สึกปวดเอวและส่วนล่างนั้น…มันแสนจะชัดเจน เมื่อคืนเธอคงเสียตัวให้ใครสักคน….. รอบๆ ห้องนี้ไม่มีใครอยู่ เอววามองไปที่นาฬิกา ใช่แล้วตอนนี้เวลาสิบโมงกว่า เธอหายไปทั้งคืนเช่นนี้ ป้ามาธ่าน่าจะบิดหูเธอขาดทันทีที่เอวากลับไปที่โบสถ์ ใจเย็นๆ เอวา ตอนนี้สิ่งที่ต้องคิดเป็นอันดับแรกคือ….เธอจะใส่ชุดอะไรออกไปจากห้องนี้กัน เอวาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าไม้ สถานที่นี้เธอมาค่อนข้างบ่อย ที่นี่คือโรงแรมเอเลฟีน่า…โรงแรมที่หรูหราที่สุดในจักรวรรดิ เอวามาปราสาทพรให้ผู้จัดการโรมแรมบ่อยๆ เขาให้ค่าตอบแทนเอวาในราคาที่สูง เพราะที่พักที่นี่ราคาแพงลิบลิ่ว เอวาชะงัก! เธอหวังลึกๆ ว่าชายคนเมื่อคืน….เขาคงจะจ่ายค่าโรงแรมแล้วใช่ไหมนะ…..เธอคงไม่ซวยถึงขนาดที่เสียตัวแล้วยังต้องมาออกค่าโรงแรมอีก เอวาเปิดตู้เสื้อผ้าออก ปรากฏเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีดำแขวนไว้อย่างเป็นระเบียบ เอวาคว้าเสื้อเชิ้ตและกางเกงมาใส่ เธอพับขากางเกงขึ้นเพื่อให้สะดวกกับการก้าวเดิน หลังจากจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางเอวาก็เปิดประตูออกไปด้านนอก ก่อนออกไปเธอไม่ลืมหยิบเศษซากชุดนักบุญของเธอออกมาด้วย ที่นี่เป็นชั้นบนสุด..ไม่ค่อยมีใครขึ้นมาพักเพราะค่าห้องชั้นบนจะแพงที่สุด เอวารีบวิ่งลงบันไดของพนักงาน เพื่อหลีกเลี่ยงการเจอผู้คนด้านล่างด้วย “อ้าว!..เอวา?” เธอหันไปมองเสียงเรียกก็พบกับเจน “สภาพเช่นนั้นคืออะไรกัน…ท่านนักบุญ” เจนอมยิ้มให้เอวา เอวาหลับตาพร้อมทั้งหมวดคิ้ว “….อย่าบอกใคร” เจนหัวเราะ เจนและเอวาเติบโตด้วยกันมาในบ้านเด็กกำพร้า เอวาคือเพื่อนสาวคนเดียวของเธอ อีกทั้งเมื่อคืนคนที่ชวนเอวาไปกินไวน์องุ่นจนเมาก็คือเจนเอง “เอวา…เดินออกมาจากห้องไหน?” เอวาเม้มปาก “ช่างมันเถอะ” เจนยกมือขึ้นท้าวเอว เธอเริ่มมองเพื่อนสนิทด้วยอารมณ์โมโหนิดๆ “จะช่างมันได้ยังไงเอวา!…ดูสภาพเจ้าก่อน คอแดงเถือกเช่นนี้…คงไม่ได้ทำไปแค่รอบเดียวหรอกนะ!!!” เอวายกมือขึ้นปิดปากเจน “เจน…เมื่อคืนข้าเมา..เลยมองหน้าเขาไม่ชัด” “เช่นนั้นเจ้าก็บอกมาว่าเจ้าออกมาจากห้องไหน…ข้าสามารถตรวจชื่อของแขกที่เข้าพักให้ได้” เอวาเม้มปาก “เจนตรวจชื่อแล้วยังไง…เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นข้าก็จำไม่ค่อยได้ จะไปบังคับให้เขามารับผิดชอบข้าเหรอ เกิดเจ้าโวยวายให้เขามารับผิดชอบข้าแล้วเขาเป็นคนที่มีภรรยาอยู่แล้วล่ะ ชีวิตข้าจะไม่ยิ่งเลวร้ายไปกว่านี้เหรอ?” เจนถอนหายใจ พอเธอนึกตามที่เอวาพูดมานั้นก็มีเหตุผล “เช่นนั้นเจ้ารีบไปก่อนป้ามาธ่าจะฆ่าเจ้า” เอวารีบวิ่งทันทีที่เจนกล่าวจบ เธอปีนกำแพงเข้าทางข้างโบสถ์ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ห้องนอนตัวเองเพื่ออาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดนักบุญหญิง โชคดีที่ชุดนี้ปิดขึ้นไปถึงคอ ไม่งั้นถ้าคนอื่นเห็นคงตอบคำถามกันไม่หวาดไม่ไหวแน่ เอวาเดินไปยังห้องสวดภาวนา…ทว่าไม่มีคนอยู่สักคน เธอรับวิ่งไปที่ห้องโถงใหญ่เสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่ นักบุญส่วนใหญ่อยู่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เอวาใช้ถังน้ำมารองก่อนที่เธอจะปีนไปแอบดูที่หน้าต่าง ท่านนักบุญริกเกอร์ผู้ดูแลโบสถ์กำลังกล่าวกับนักบุญที่อยู่ในห้องโถง “เพราะฉะนั้นทางพระราชวังจึงให้เราส่งนักบุญที่มีพลังรักษาเข้าร่วมกับกองทัพเพื่อไปออกรบในครั้งนี้” เอวาขมวดคิ้ว ออกรบงั้นเรอะ!! ให้ตายเถอะ เธอหวังอย่างยิ่งว่าท่านนักบุญริกเกอร์คงจะไม่ส่งผู้หญิงไปหรอก ใช่ไหม? “คนแรกที่จะเป็นหัวหน้าของนักบุญที่เดินทางไปครั้งนี้ คือ เอวา” “…..” “เอวา…รีบออกมา!!” เอวาคิดว่าเธอยังคงไม่สร่างเมา ไม่สร่างเมาแน่ๆ เหล้าองุ่นของเจนฤทธิ์ช่างแรงข้ามวันข้ามคืน “เอวา!!!” เอวาที่มองท่านนักบุญริกเกอร์ที่หน้าต่าง เธอรู้สึกเสียวๆ ที่สันหลัง เอวาหันหลังไปมองด้านหลังก็พบกับ ป้ามาธ่า ที่ยืนถือไม้เรียวมองเธออยู่ “…เอวา…ยังไม่รีบเข้าไปอีก!!!” เสียงของป้ามาธ่าที่เรียกเธอทำให้ทั้งห้องโถงใหญ่มองมาที่หน้าต่างที่เอวายืนอยู่ นี่มัน….วันซวยอะไรของเธอกัน!! เอวาเดินคอตกไปหาท่านนักบุญริกเกอร์ “คนต่อไป……” เอวารู้สึกว่าหูของเธออื้อจนไม่ได้ยินเสียงของท่านริกเกอร์ที่เรียกชื่อนักบุญคนอื่นเลย
เจ้าเอาชนะได้ทุกอย่างอยู่แล้วมาเรีย ทุกอย่างนั้นมันรวมไปถึงเอาชนะข้าด้วย แต่สิ่งที่เจ้าไม่อาจเอาชนะมันได้ นั่นคือความต้องการในใจของเจ้า…ที่มีต่อข้า ฟังเสียงหัวใจ..แล้วเดินมาหาข้าสิ "นี่คือจดหมายหย่าค่ะท่านดยุค รบกวนประทับตราลงไป...." ใช่แล้ว...ถ้าชายเบื้องหน้าของฉัน ประทับตราลงไปบนจดหมายหย่าฉบับนี้แล้วละก็ นั่นหมายความว่าชีวิตของฉันมันก็จะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น... ฉันดันตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างของ มาเรีย เดอ อินโทเนีย...ตัวประกอบของนวนิยายดราม่าที่เป็นต้นเหตุแห่งความฉิบหายวายป่วงทั้งหมด ฉันตาย...อ่า..ๆไม่สิๆ มาเรียตายเพราะเธอนอกใจท่านดยุคเดอ อินโทเนีย เป็นการนอกใจในระหว่างที่ท่านดยุคไปออกรบยาวนานถึงสามปี และชายหนุ่มที่เธอไปเผลอมีอะไรด้วยนั่นก็คือ มาเดล ลาโม อีเทอนี่...พี่ชายของนางเอก เขาเป็นหนึ่งในองค์ชายที่ถูกบรรยายความหล่อเหลาถึงสามหน้ากระดาษเต็มๆ... นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ดยุคเดออินโทเนียก่อกบฏเพราะเขาเคียดแค้นราชวงศ์ที่มาแย่งชิงภรรยาที่รักของเขา แต่...ถ้าคุยกันดีๆ นี่อาจจะเรียกว่ามันคือความโชคดีหนึ่งเดียวของฉันก็ว่าได้เพราะว่าฉันย้อนเวลามาก่อนที่ท่านดยุคจะออกรบ ตอนนี้เรื่องราวมันยังไม่เกิด ถ้าหากว่าเราคุยดีๆ... พูดคุยด้วยความเข้าใจและ...หย่ากับท่านดยุคก่อนที่เรื่องราวมันจะเกิด นั่นน่าจะเป็นหนทางรอดเลยไม่ใช่รึไง!! "เอียลอส!! ขังดัชเชสเอาไว้ที่ห้องนอนอย่าให้ออกมาพบเจอผู้ใด...มาเรียต้องให้ข้าเตือนสติเจ้าสักกี่ครั้งว่าตระกูลเดออินโทเนีย เราจะไม่มีการประทับตราลงไปบนหนังสือหย่า ข้าจะคิดว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นและอย่าหวังเลยที่รัก..." เขาใช้จมูกโด่งเป็นสันของเขามาคลอเคลียที่พวงแก้มของมาเรียอย่างแผ่วเบา... "อย่าหวังว่าดวงตาคู่นี้ของเจ้าจะได้จ้องมองใครนอกจากข้าและคืนนี้หลังจากที่ข้ากลับมาจากพระราชวังแล้ว ข้าจะมาเตือนสติเจ้าด้วยร่างกายนี้อีกครั้ง...ว่าร่างกายของเจ้ามันชื่นชอบยามที่อยู่ภายใต้ร่างของข้ามากแค่ไหน..." สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธนั่นคือ...ดยุคเดออินโทเนียแซ่บมากจริงๆให้ตายเถอะ!!! เขาคือชายนักรบที่มีดวงตาสีฟ้าที่สามารถสะกดสายตาของเธอเอาไว้ได้ ผิวที่ถูกแดดแผดเผานั่นกลับดูเข้ากันอย่างน่าประหลาดกับใบหน้าที่คมเข้ม ร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม...และในยามที่เขาครอบครองเธอ มันดี....อะ..เอ่อ ตั้งสติหน่อยสิมาเรีย!!! เธอจะตายแน่นอนถ้ายังไม่ยอมหย่ากับเขานะ... อ่า...นะ..นั่นมันอะไรกัน ความหล่อเหลาที่เจิดจ้าจนแสบตานี้... ในตอนที่คุณนักเขียนบรรยายความหล่อขององค์ชายมาเดล เธอยังคิดว่านักเขียนนี่ขี้อวยจริงๆ...และพอเธอมาเห็นใบหน้าของเขา ความหล่อเหลาสามหน้ากระดาษนั่นคือเรื่องที่ไม่เกินจริง หากจะเปรียบท่านดยุคเป็นหนุ่มคมเข้มที่มีกลิ่นอายของความดิบเถื่อน องค์ชายมาเดลนี่ก็คงจะเป็นคนที่หล่อแนวสะอาดสะอ้าน หล่อสะอาดเหมือนอาบน้ำทุกชั่วโมง... อย่าว่าแต่มาเรียคนเก่าเลยที่ทนไม่ไหว เธอเองก็ไม่มีความสามารถที่จะต้านทานคนที่หล่อขนาดนี้ได้เช่นกัน... "หากดัชเชสยังไม่มีคู่เต้นรำในค่ำคืนนี้ ได้โปรดส่งมือของดัชเชสมาให้ข้าได้หรือไม่?" ต้องปฏิเสธ เธอมีสามีแล้วอีกทั้งนี่มันยังเป็นหนทางที่นำไปสู่ความตายนะมาเรีย ต้องปฏิเสธเขา!! ใช่เธอควรจะกล่าวปฏิเสธ และเธอคิดว่าตัวเองปฏิเสธเขาไปแล้วอย่างชัดเจน แล้วทำไม... เธอถึงได้ตื่นมาในสภาพเปลือยล่อนจ้อนบนเตียงของเขาได้ล่ะมาเรีย!!! "เมื่อคืนการตอบรับของเจ้ามันช่างน่ารักน่าชังจังเลยนะมาเรีย..." "ลืม..มันเถอะเพคะ ลืมให้หมดและเราอย่ามาพบเจอกันอีกเลย!!" "คงจะทำเช่นนั้นไม่ได้ เจ้าน่าจะรู้ถึงการทำสัญญาของราชวงศ์ เจ้าเป็นคู่พรหมลิขิตของข้าแล้วมาเรีย เมื่อคืนข้าและเจ้ากล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าหินเวทมนตร์แล้ว...แน่นอนว่าเจ้าไม่อาจปฏิเสธข้าได้และข้า...จะไปคุยเรื่องนี้ในทันทีที่ดยุคกลับมาจากชายแดน" โอเค...ตอนนี้ก็นับถอยหลังวันที่เธอจะถูกดยุคเดออินโทเนียกะซวกท้องได้เลย . . . . คำเตือน เรื่องนี้เป็นแนวฮาเร็ม นางเอกของเรื่องมีคู่นอนหรือว่าคนรักมากกว่าหนึ่งคนขึ้นไป ใครที่ไม่ชอบแนวนี้ผ่านได้เลยนะคะ เป็นแนวสุขนิยม ดราม่ากรุบกริบ แต่จบดีแน่นอนจ้า มาเป็นกำลังใจให้มาเรียได้นะคะว่าน้องจะสามารถหย่ากับท่านดยุคได้รึเปล่า? ขอบคุณทุกการติดตาม ขอบคุณที่ผ่านมาพบเจอผลงานของไรท์
ข้อแม้ในการหย่ามีข้อเดียวนั่นคือภายในเวลาหนึ่งปีหากว่าเธอไม่มีทายาทให้จวนไป๋ฟางหรงจะได้รับใบหย่าและได้ออกไปจากที่นี่เรื่องราวมันควรจะเป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้หากว่าเขาไม่มารู้ทันแผนการของเธอเสียก่อน!! มีปัญหาขึ้นนิดหน่อย และปัญหาที่ว่ามันคือปัญหาที่ฟางหรงจะต้องแต่งงานเข้าจวนตระกูลไป๋แทนพี่สาว งานมงคลที่ไร้ความสุข ใบหน้าของคนในจวนต่างเต็มไปด้วยน้ำตา... ฟางหรงมีคนรักอยู่แล้ว ความรักที่เลื่อนมาจากการเป็นสหายมาเป็นคนรัก...หนิงหลงเขาคือชายที่อยู่ในใจมาโดยตลอด ทางตระกูลหนิงส่งของหมั้นมาที่จวนตระกูลฝูเรียบร้อยแล้ว เราจะได้แต่งงานกันถ้าหากว่านางไม่ต้องไปแต่งงานแทนพี่สาวซะก่อน มันเหมือนกับ...ความหวังของฟางหรงถูกทำลายลง นางจำต้องทนอยู่ในจวนท่านอ๋องไป๋ เป็นพระชายาที่ไม่เคยได้คุยกับท่านอ๋องแม้แต่ครึ่งคำ และแล้วความหวังของฟางหรงก็ได้เกิดขึ้นมา...เมื่อฮูหยินเฒ่าหยิบยื่นข้อเสนอให้กับนาง "เมื่อใดที่มีหลานให้ข้าเมื่อนั้นเจ้าจึงจะถือเป็นคนตระกูลไป๋โดยสมบูรณ์!!!" ใจจริงก็ไม่ได้...อยากเป็นคนตระกูลไป๋แม้แต่น้อย "รับทราบเพคะท่านย่า" ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงจะต้องยิ้มแย้มให้หญิงชรา นี่คือหญิงชราที่ฮ่องเต้ยังต้องเกรงใจ แล้วเธอเป็นใครจะกล้าไปเถียงหญิงชราผู้นี้กันเล่า!! "ดี ดูจากเมื่อคืนที่เฟยเทียนไปหาเจ้าแล้ว เรื่องหลานตัวน้อยก็คงไม่น่าจะยากเย็นอันใดหรอก ข้ามิใช่สตรีที่บ้าในยศศักดิ์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องมายกน้ำชาไหว้ข้าทุกเช้า เอาเวลาไปทำเรื่องที่สมควรจะทำเถิด" อ่า...ดูๆ ไปแล้วที่นี่ก็มิได้เลวร้ายอย่างที่คิดเอาไว้ ไม่ต้องมีพิธีรีตองสิดี นี่มันเรื่องถนัดเลยไม่ใช่รึไงกัน "ขอบคุณท่านย่าที่เมตตาเพคะ" "หนึ่งปี นับจากนี้อีกหนึ่งปีหากว่าเจ้าไม่อาจมีหลานให้ข้าได้ ข้าจะให้เฟยเทียนหย่ากับเจ้า!!! นี่ไม่ใช่คำขู่หรอกนะฟางหรง ทว่านี่คือโอกาส ตำแหน่งพระชายาจวนไป๋อ๋อง เจ้าจะรักษามันได้หรือไม่ก็อยู่ที่ความสามารถของเจ้าแล้ว" หนึ่งปี... นั่นหมายความว่าในหนึ่งปีนี้ถ้าหากเธอไม่ท้อง เธอก็จะได้หย่ากับท่านอ๋อง...ดีอะไรเช่นนี้กันนะ จากที่ไร้ซึ่งโอกาส บัดนี้เธอได้มองเห็นโอกาสแล้ว!!! มองเห็นเต็มสองตาเลย!! "ขอบคุณท่านย่าที่เมตตา" หญิงชราและสนมไป๋มองหน้ากันก่อนที่จะยกยิ้มขึ้นมา นางรู้ดีว่านี่คือการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ทางอำนาจ รู้ดีว่าหลานทั้งสองมิได้รักกัน แต่ทว่าสำหรับราชวงศ์แล้วเราไม่นิยมหย่ากันเพราะจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง หญิงชราเองก็ไม่คิดจะให้เด็กสาวที่น่าสนใจผู้นี้หย่ากับหลานสุดที่รักของนางเช่นกัน แต่การบีบบังคับนั่นคือหนทางแห่งการทรมาน สู้เอาความหวังที่แสนริบหรี่นั่นมาทำให้ตัวของฟางหรงคาดหวังถึงทางรอดนั่นอาจจะดีกว่า เพราะฟางหรงจะอยู่ที่นี่นับจากนี้อย่างมีความสุข ส่วนเรื่องการตั้งครรภ์ขอให้เป็นไปตามลิขิตของสวรรค์ก็แล้วกัน ฟางหรงเอ๋ย เจ้าก้าวข้ามประตูของจวนไป๋เข้ามาแล้ว อย่าหวังว่าจะได้ออกไปเลย!! . . . . . ฝากติดตาม กดหัวใจ กดเข้าชั้นให้ด้วยนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ผ่านเข้ามาอ่าน อาจจะไม่ได้ตอบทุกคอมเมนท์แต่อ่านทุกคอมเมนท์แน่นอนจ้า
นิ้วมือเรียวยาวไล้ไปตามกระจกเงาที่สะท้อนใบหน้าอันแสนงดงามชวนตะลึง ในขณะที่เธอกำลังพยายามตั้งสติประตูไม้พังๆนั่นก็ถูกถีบออกจนไม้ที่ผุพังกระจายไปทั่วพื้น เธอช้อนสายตามองหน้าผู้ชายสุดหล่อในชุดเกราะเหล็กแวววาวที่พึ่งเข้ามาใหม่ด้วยแววตาที่ตื่นตระหนกและตกใจ ให้ตายเถอะ! เมื่อครู่เธอคิดว่าแสงสว่างจ้าเบื้องหน้ามันคือสัญญาณว่าเธอตายไปแล้ว และเธอตายไปแล้วแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย เธอกำลังตกใจกับใบหน้าของเจ้าของร่างนี้โดยที่สติของเธอยังไม่ได้ได้เข้าที่เข้าทางเลย เธอจะต้องตกใจกับความหล่อเหลาของชายที่เข้ามาใหม่อีก นี่พระเจ้าจะให้เธอตกใจตายไปอีกครั้งหรืออย่างไร ถึงได้ทรงปั้นใบหน้าที่หล่อเหลาของมนุษย์ออกมาได้สมบูรณ์แบบถึงเพียงนี้ เขาตรงเข้ามาหาเธอและ..แน่นอนว่านี่มันคงจะเป็นน***********กสักเรื่องที่เธอและเขาอาจจะเป็นพระเอกและนางเอก หรือว่าตัวประกอบในนิยายที่ตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกพบ.. หัวใจพลันเต้นแรงพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อ เขาสาวเท้าเข้ามาประชิดตัวเธอพร้อมกับโอบกอด.... "อย่าส่งเสียงร้องถ้าไม่อยากให้ดาบนี่แทงทะลุหน้าสวยๆของเจ้า" อะ..เอ่อ มันเกินเลยคำว่าโอบกอดไปมากเพราะว่าตอนนี้เขากำลังดึงผมเธอเพื่อให้เธอเงยหน้าไปด้านหลังพร้อมกับมีดสั้นที่สะท้อนแสงแวววาวจนเธอรู้สึกได้ถึงความเย็นเฉียบเมื่อมันสัมผัสกับผิวหนังบริเวณคอของเธอ "อ่า..คือข้าคิดว่านี่จะต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอย่างแน่นอนค่ะ" เขามองหน้าเธอก่อนจะลดมีดที่กำลังทาบลงบนต้นคอเธอลง "มีทางเลือกให้เจ้าสองทางคือหนึ่งตายตรงนี้.." เธอไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์เบื้องหน้ามากนักแต่เธอเริ่มแน่ใจแล้วว่านี่จะต้องไม่ใช่ฉากโรแมนติกในนิยายอย่างแน่นอน เพราะว่าเขาไม่ได้มองมาที่เธอด้วยสายตาที่เจือปนด้วยความชื่นชอบแม้แต่นิดเดียว "เช่นนั้นข้าขอฟังทางเลือกที่สองหน่อยค่ะ" "ไปเป็นโสเภณีเพื่อต้อนรับแขกชนชั้นสูง" เธอกวาดสายตาไปรอบๆเพื่อที่จะหาทางหนี ในใจกำลังคิดอย่างหนักว่านี่มันเรื่องอะไรกัน เธอไม่ได้รู้เรื่องเหตุการณ์ตรงหน้าเลย แถมยังไม่รู้แม้แต่ชื่อของตัวเอง "ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดตัวข้าถึงเหลือทางเลือกเพียงแค่สองทางในเมื่อท่านสามารถเพิ่มทางเลือกที่สาม..อย่างเช่นการปล่อยข้าไปจากที่นี่" "แกล้งโง่รึไงเลดี้เชอรีน เจ้าเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น เพราะฉะนั้นเจ้าจึงไม่สมควรมีชีวิตอยู่ยังไงล่ะ" เธอขมวดคิ้วมองคนหล่อที่พร่ำอยู่คนเดียว โดยที่เธอไม่รู้เรื่องเลย "ขอโทษนะคะคือข้าจำอะไรไม่ได้เลย พอตื่นขึ้นมาข้าก็เดินไปที่กระจกแล้วท่านก็ถีบประตูเข้ามาทำท่าจะปาดคอข้า แล้ว..เชอรีนคือชื่อของข้าอย่างนั้นหรือคะ?" เขาเงียบไปสักพักก่อนจะดึงผมเธอเพื่อให้เธอก้มหน้าลง ด้านหลังตรงท้ายทอยของเธอมันมีเลือดไหลซึมออกมาแห้งเกรอะกรังไปหมด เขาถอนหายใจก่อนจะแสยะยิ้มออกมา "ความงดงามของเจ้านั้นหายากยิ่งนักเชอรีน บอกข้ามาหน่อยว่าเจ้าอยากมีชีวิตรอดหรือไม่?" เธอพยักหน้าเร็วๆ "เช่นนั้นเจ้าก็บอกกล่าวแก่พ่อของเจ้าว่าเจ้าต้องการแต่งงานกับแกรนด์ดยุคโอนิกซ์ เขากำลังต้องการเจ้าสาวที่พร้อมจะแต่งงานกับเขาอยู่พอดี เจ้าก็แค่แต่งงานกับเขาแล้วสืบเรื่องของเขามารายงานให้แก่ข้า.." หมอนี่มัน..ตัวร้ายชัดๆเลย เป็นคนหล่อที่สารเลวสุดๆเอาชีวิตของเธอไปแขวนบนเส้นด้ายแล้วก็แกว่งไปแกว่งมาเพื่อล้อเล่นกับชีวิตของเธอ คอยดูเถอะเธอจะต้องหาทางเอาคืนอย่างแน่นอน "ได้ค่ะ ขอแค่ท่านให้โอกาสข้า ข้ายินดีที่จะบุกน้ำลุยไฟเพื่อที่จะทำตามความปรารถนาของท่านเลย..ว่าแต่ท่านชื่ออะไรอย่างนั้นเหรอคะ" เขามองหน้าเธอนิ่งๆก่อนจะลูบผมที่ยุ่งเหยิงของเธอเบาๆ ริมฝีปากที่กำลังแสยะยิ้มของเขาบดขยี้ลงมาอย่างรวดเร็วจนเธอไม่ทันได้ตั้งตัว เธอกัดฟันเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ลิ้นที่น่ารังเกียจของเขาลุกล้ำเข้ามาด้านใน "เป็นจูบที่รสชาติห่วยชะมัด" เขากล่าวพร้อมกับลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไป "เจ้าจะรู้ว่าข้าเป็นใครก็ต่อเมื่อเจ้าเห็นข้าอีกครั้ง..อย่าลืมหน้าที่ของเจ้านะเชอรีนเพราะว่าข้าจะส่งคนไปจับตาดูเจ้าจนกว่าเจ้าจะสามารถแต่งงานกับแกรนด์ดยุคได้" เธอมองหน้าเขานิ่งๆพร้อมกับกำมือแน่น เชอรีนอย่างงั้นเหรอ? เจ้าของร่างนี้ชื่อเชอรีนสินะ ขนาดเธอสวยขนาดนี้เขายังไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้มีความหลงใหลหรือว่าจังหวะตกหลุมรักอะไรเลย ที่นี่มันยังไงกันนะ.. เชอรีนยกมือขึ้นมาเช็ดปากตัวเองเธอถูไปมาจนริมฝีปากบวมเป่งด้วยความรังเกียจ และในขณะที่เธอกำลังจะเดินออกจากบ้านไม้พังๆหลังนี้ทหารจำนวนหนึ่งก็กรูกันเข้ามาหาเธอ "พบตัวคุณหนูแล้วครับ!!" เสียงตะโกนดังลั่นพร้อมกับความง่วงนอนที่ถาโถมเข้ามา เธอพยายามลืมตาแต่ก็ไม่สามารถทำได้เลย สิ่งสุดท้ายที่เชอรีนมองเห็นคือสาวใช้ผู้หนึ่งที่วิ่งเข้ามาหาเธอด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม นี่เธอปลอดภัยแล้วใช่ไหมนะ? เชอรีนลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเธอก็ได้ยินเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นมาจนอดจะรู้สึกหนวกหูไม่ได้ พอเธอลุกขึ้นนั่งบนเตียงก็มีหญิงชราตรงดิ่งเข้ามาโผกอดเธอเอาไว้ "เชอรีนลูกรัก ลูกปลอดภัยดีใช่ไหม พ่อกับแม่ตามหาลูกซะทั่วเลย.." เธอมองพวกเขาด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่า แน่นอนว่าเธอในตอนนี้ไม่ใช่เชอรีนตัวจริงและหมอก็บอกกล่าวแก่ทุกคนเอาไว้แล้วว่าเธอถูกตีที่ศีรษะ เป็นเรื่องธรรมดาที่ความทรงจำของเธอจะขาดหายไปกับในบางเรื่อง "เชอรีน? อย่าบอกนะว่าลูกจำอะไรไม่ได้เลย พระเจ้าช่วย!" หญิงสาววัยกลางคนเป็นลมล้มลงในทันทีจนสาวใช้ต้องรีบวิ่งเข้าไปรับร่างกายที่กำลังไร้สติของบารอนเนส ส่วนท่านบารอนไมเลสเขากำลังพูดคุยกับหมอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "คุณหนูคะ จำอะไรไม่ได้เลยเหรอคะ นี่เพนนีเองค่ะเป็นคนรับใช้คุณหนูตั้งแต่ที่คุณหนูยังเด็ก" เธอได้แต่ส่งยิ้มจางๆให้กับสาวใช้และผู้คนในห้อง "ขอโทษนะแต่ว่าข้าจำอะไรไม่ได้จริงๆ.." ...... "ลูกจะต้องแต่งงานอย่างเร่งด่วนที่สุดที่รัก เพราะว่าข่าวเรื่องที่เชอรีนหายตัวไปสองวันจะทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก" ในชนชั้นสูงถือว่าเรื่องนี้ร้ายแรงมากทีเดียว "จะให้ลูกแต่งงานทั้งที่ยังจำเรื่องอะไรไม่ได้แบบนี้เนี่ยนะคะ คุณยังมีความเป็นพ่ออยู่รึเปล่า?" "ก็เพราะว่าผมรักลูก
"มะ..ไม่นะเพคะเสด็จพ่อ ได้โปรด..ได้โปรดเมตตาลูกด้วย!!!" เธอร้องขอและอ้อนวอนด้วยทุกอย่างที่มี ดาเนียนั่งลงบนพื้นที่เย็นเฉียบของห้องโถงรับรองในพระราชวัง เธอยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาจับขาขององค์จักรพรรดิผู้เกรียงไกรแห่งจักรวรรดิฮาญา บุรุษสูงศักดิ์ที่เธอเรียกขานเขาว่าเสด็จพ่อ องค์จักรพรรดิปรายตามองใบหน้างดงาม แววตาของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา เขาหรี่ตาจ้องมองดรุณีน้อยที่เรียกเขาว่าพ่อด้วยสายตาดูแคลนและแค้นเคือง สายตาที่ไม่มีเยื่อใยใดๆทั้งสิ้น "นำนางไปแขวนคอซะ!! เอาศพของนางไปทิ้งให้ไกลจากพระราชวัง อย่าให้เลือดที่ต่ำช้าของนางเปรอะเปื้อนพื้นดินของจักรวรรดิฮาญา" "เสด็จพ่อ!! ทรงทำเช่นนี้มิได้นะเพคะ!!" หวาดกลัว เจ็บปวดและไร้ทางเลือก ร่างกายของดาเนียสั่นเทาไปด้วยความกลัวและความเสียใจ มือทั้งสองของเธอเปียกชุ่มไปด้วยเลือดที่ยังอุ่นอยู่ของท่านแม่ซึ่งเป็นจักรพรรดินีของจักรวรรดินี้ เธอคือองค์หญิงเพียงคนเดียวในบรรดาพี่ชายสองคนของจักรวรรดิ ดาเนียคือองค์หญิงผู้ที่มีแต่ขุนนางและเลดี้ชนชั้นสูงมาคอยเอาใจเพราะเธอคือแก้วตาดวงใจขององค์จักรพรรดิ เธอควรจะมีความสุขและยืนอยู่สูงส่งบนบัลลังก์สีทองนั่นสิ! มันควรจะเป็นเช่นนั้นถ้าหากความจริงไม่ถูกเปิดเผยออกมา... เธอมิได้มีสายเลือดของราชวงศ์เลย ท่านแม่ถูกบังคับให้แต่งงานกับองค์จักรพรรดิ ท่านแม่อภิเษกเข้ามาทั้งที่ตั้งครรภ์เธออยู่ แต่แล้วเธอผิด..ตรงไหนกัน? มีเหตุผลอะไรที่เธอสมควรตายในวันนี้ เรื่องของผู้ใหญ่ในอดีตเธอรู้เรื่องซะที่ไหนกันเล่า!! "พาสามีของข้ามาที!! ไปตามเคาน์เวสตินมาพบข้าเดี๋ยวนี้!" เธอนั่งอยู่บนแท่นประหารที่อยู่ใจกลางเมือง มีชาวบ้านมามุงดูการตายของเธอกันมากมาย บางคนก็โกรธแค้นด่าทอ ทว่าบางคนก็จ้องมองมาด้วยความเห็นใจ ดาเนียเลือกที่จะก้มหน้าลงเพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องมองเห็นสายตาเหล่านั้น มือทั้งสองข้างถูกมัดด้วยเชือก ใบหน้าที่เคยงดงามเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย เธอกำลังอยู่ในสภาพที่น่าเวทนามากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นในใจของดาเนียยังคงมีความหวัง เธอหวังว่าท่านพ่อจะมีเมตตายกเลิกคำสั่งประหาร หรือไม่สามีของเธอก็น่าจะมาช่วยเธอสิ นาธานน่ะรักเธอที่สุดเลย เขาจะต้องยินยอมช่วยเหลือเธอเป็นแน่! "ให้ข้าสั่งเสียภรรยาเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเถิด" หยาดน้ำตาไหลลงมาจากดวงตาของดาเนียอีกครั้งเมื่อสามีโอบกอดเธอเอาไว้ "นาธาน ช่วยข้าด้วยเถอะ พาข้าหนีออกไปจากที่นี่ เจ้าทำได้ใช่ไหมที่รัก ข้ายังไม่อยากตาย.." เขาก้มหน้าไปกระซิบที่ข้างหูของเธออย่างแผ่วเบา "ช่วยงั้นหรือดาเนีย เจ้าทำให้ตระกูลของข้าเดือดร้อนมากแค่ไหนยังไม่รู้ตัวอีกงั้นหรือ ข้าอุตส่าห์คาดหวังว่าจะได้เป็นองค์จักรพรรดิ ถึงได้แต่งงานกับสตรีที่มีดีแค่ความงามเช่นเจ้า" "...นาธาน นี่มัน..หมายความว่ายังไง?" "หมายความว่าข้าจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเจ้าเด็ดขาด ชีวิตที่ไร้ค่าของเจ้าไม่คู่ควรให้ข้าเอาชื่อเสียงของตระกูลเวสตินไปเสี่ยงหรอกนะ" นี่คือสามีที่เธอรักสุดหัวใจงั้นหรือ? อะไรกัน..เขากล้าทอดทิ้งเธอในยามที่ลำบากเช่นนี้ได้อย่างไร! "ทำตามหน้าที่ของพวกเจ้าเถิด ข้าสั่งเสียกับภรรยาเสร็จแล้ว!" เขาแสร้งยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา ท่าทางเสียใจปลอมๆ ของเขาทำเอาเธออยากจะลุกขึ้นไปตบหน้าเขาสักที! เหตุใดตัวเองถึงได้โง่งมเลือกเขามาเป็นสามีกันนะ! แต่ทว่าในยามนี้ดาเนียถูกเชือกที่เย็นเฉียบถูกสวมเข้ามาที่คอ นักบุญเป็นผู้ที่เดินเข้ามาหาเธอ บนใบหน้าของบุรุษที่สวมชุดสีขาวเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา เขาหยิบกระสอบผ้ามากระสอบคลุมศีรษะเธอเอาไว้ ก่อนจะจับจูงมือของเธอเพื่อพาเธอมายืนตรงแท่นประหาร หากทหารดึงคันโยก พื้นกระดานด้านล่างก็จะเปิดออก ร่างกายของเธอก็จะหล่นลงไปแล้วเชือกก็จะรัดคอเธอแน่นทำให้เธอขาดอากาศหายใจไปในที่สุด... ความตายอยู่ใกล้กว่าที่คิดเอาไว้ เธอมีความสุขมากซะจนคิดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ เรื่องราวมันเริ่มต้นตรงไหนกันนะ มันผิดพลาดมาตั้งแต่ตรงไหนกัน เสด็จแม่ตายในคมดาบของเสด็จพ่อ พระองค์กล้าที่จะฆ่าเสด็จแม่ต่อหน้าเธอ ดาเนียพยายามทำความเข้าใจเสด็จพ่อว่าที่ท่านทำลงไปทั้งหมดมันเป็นเพราะความรักที่มากมายในใจของท่าน.. เพราะรักมากจึงมิอาจทำใจได้เมื่อถูกทรยศ แต่กับเธอเล่า ถึงเธอจะไม่ใช่สายเลือดแต่ว่าท่านเป็นคนเลี้ยงเธอมา อีกทั้งเธอยังไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย!! ระหว่างเธอกับเสด็จพ่อมันไม่มีความผูกพันใดๆ เลยงั้นหรือ? ดาเนียหลับตาลง เธอกำลังตั้งใจฟังเสียงของบทสวดเพื่อภาวนาให้ตัวเองไม่ต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้อีก หากว่าความตายคือจุดจบ เช่นนั้นเธอก็เดินทางมาถึงมันแล้ว... แต่ทว่าเธอตายโดยที่ตัวเองมิได้กระทำความผิด เธอตายเพียงเพราะว่าเธอคือองค์หญิงตัวปลอม... แล้วใครกันนะที่เป็นคนเปิดโปงเรื่องนี้ เสด็จพ่อทรงทราบเรื่องที่เสด็จแม่ปกปิดเอาไว้ได้อย่างไร ในหัวพลันนึกถึงนักการทูตที่เดินทางมาจากเมืองแอชตัน เธอคิดว่าเธอรู้แล้วว่าเพราะอะไร สตรีที่เดินทางเข้ามาพร้อมกับทูตมีเส้นผมสีเงินเหมือนกับท่านพี่ไคแลน นางคงจะเป็นสายเลือดที่แท้จริงของท่านพ่อสินะ แต่ทว่ารู้แล้วอย่างไร รู้ความจริงแล้วอย่างไรเล่าในเมื่อชีวิตของเธอเดินทางมาถึงจุดจบแล้ว ลมหายใจสุดท้ายถูกพรากไปจากดาเนีย สิ่งต่อมาที่เธอเห็นนั่นคือความว่างเปล่าที่มืดมิด.... "เฮือก!" ดาเนียสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียง เธอกำลังหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อหอบเอาอากาศเข้าปอด แสงแดดในยามเช้าสาดส่องเข้ามาพร้อมกับสาวใช้ที่ยืนเรียงรายกันเต็มข้างเตียง เธอปรายตามองหน้าสาวใช้ทุกคนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม "น่าแปลกที่วันนี้องค์หญิงตื่นจากบรรทมไวกว่าทุกวันนะเพคะ" คาริวางอ่างล้างหน้าเอาไว้ข้างเตียงก่อนจะส่งผ้าขนหนูให้องค์หญิงของเธอได้เช็ดหน้า "นี่มัน...อะไรกัน?" ดาเนียยกมือขึ้นมานวดขมับเบาๆ เพราะเธอปวดหัวจนแทบบ้า! "ไม่สบายหรือเพคะ รีบไปตามหมอหลวงมาเร็วเข้า!" ไม่สบายงั้นหรือ เธอตายไปแล้วจะมาป่วยอะไรกัน? "ดาเนียลูกรักของพ่อ!! เจ้าไม่สบายงั้นหรือ!!" ดาเนียปรายตามองใบหน้าของชายชราที่วิ่งมาหาเธอด้วยท่าทีเร่งรีบ มีหมอหลวงหลายคนวิ่งตามพระองค์เข้ามาอย
คำโปรย ฉันทะลุมิติมาในหนังสือที่เคยอ่าน หนังสืออิโรติกที่มียอดดาวน์โหลดกว่าสองล้านดาวน์โหลด “ค่ำคืนที่ร้อนแรงของโอลีเวีย” ใช่ไหม…แต่ชื่อก็ทำเอาเลือดกำดาวจะพุ่ง ส่วนเนื้อหาข้างนะไม่ต้องพูดถึง..หื้มมม นางเอกชื่อโอลีเวีย เป็นสาวน้อยสุดน่ารักที่เกิดในตระกลูอีเมอร์สัน เธอถือสตรีที่ร้อยปีจะกำเนิดขึ้นสักครั้ง เป็นสตรีที่มีพลังรักษาและพลังศักดิ์สิทธิในตัว ….แต่วิธีการรักษานี่สิ….ไม่ใช่การร่ายเวทย์แต่คือการร่วมรัก…./อ๊ายยยย ขอพักเช็ดเลือดกำเดาแปบ เรื่องนี้เป็นแนวๆกึ่งฮาเร็ม นางเอกก็รักษาชายหนุ่มไปเรื่อยๆจนได้พบกับ ดยุคฮาเกน เขานั้นหลงรักโอลีเวียตั้งแต่แรกพบ แต่ทว่าเมดิสันนั้นหลงรักดยุคฮาเกนมาเนิ่นนาน แผนการฆ่าล้างโครตนางเอกจึงเริ่มขึ้น สุดท้ายเธอก็ทำไม่สำเร็จเพราะดยุคฮาเกนมาปกป้องครอบครัวของโอลีเวียไว้ เมดิสันถูกดยุคฮาเกนแทงที่หัวใจจนตาย ตอนจบคือดยุคฮาเกนกับโอลีเวียได้ครองรักกันอย่างมีความสุขยังไงล่ะ…… มันจะดีกว่านี้ไหมหากว่า….ฉันเข้ามาเป็นตัวประกอบโง่ๆสักคน เข้ามาเป็นนางร้ายเนี่ยนะ!!!! แต่ว่านั่นไม่ใช่ปัญหาสักเท่าไหร่ พระเอกหรือบรรดาผู้ชายที่มาชอบนางเอกนั้น ไม่ใช่เมนฉันเลย เรื่องทุบตีแย่งผู้ชายกับนางเอกตัดออกไปได้เลย …เมนของฉันคนเดียวในเรื่องนี้คือ’ท่านอลาโน่ อีเมอร์สัน ‘…..พ่อของโอลีเวีย…. ฉันลืมตามามองกระจกอีกครั้ง ใบหน้าของเมดิสันนั้น โครตจะสวย!!! ฉันจะยกพระเอกให้นางเอกไปซะ…ให้มันจบเรื่องจบราว แบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง ส่วนฉันจะเดินหน้าตามจีบ ท่านพ่ออลาโน่เองค่ะ!!!! “เจ้า…รู้สึกยังไงในตอนนี้….” อลาโน่เดินมาประชิดหลังของเธอ เขายกเส้นผมของเธอขึ้นไปจูบเบาๆ เมดิสันรู้สึกว่าตาของเธอกำลังพร่ามัว กลิ่นกายของเขาลอยเข้าจมูกของเธอ กลิ่นเหงื่อที่พึ่งผ่านสมรภูมิรักมากับสตรีอื่น….. “อะ…เอ่อ…ข้าสบายดีค่ะ” “เจ้ากำลัง….โกหก….” อลาโน่ยกนิ้วขึ้นมากดที่สะโพกของเมดิสัน “จะเป็นเกียรติมากหากข้าได้มีค่ำคืนที่งดงามกับสตรีที่ร้อนแรงที่สุดในจักรวรรดิ….” เมดิสันกัดปากเธอหันมามองหน้าอลาโน่ “…..ข้าจะมีค่ำคืนที่งดงามกับคนที่ข้ารักเท่านั้นค่ะ!!” อลาโน่เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะแสยะยิ้ม “ดยุคฮาเกนงั้นหรือ?” เมดิสันจับมือของอลาโน่มากุมไว้ “ไม่ใช่ค่ะ!!…คนที่ข้าชอบตอนนี้คือท่านดยุคอลาโน่ค่ะ!!!!” ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งห้อง อลาโน่มองเมดิสันอย่างตกใจก่อนที่เขาจะหัวเราะเยาะเธอ “นี่เป็น…วิธีเรียกร้องความสนใจแบบใหม่หรือเมดิสัน” “ข้าไม่ได้เรียนร้องความสนใจ…ข้าแค่ชอบท่าน ชอบท่านมานานแสนนาน” นานมาก…ก่อนจะทะลุมิติมาเข้าร่างนี้ด้วยซ้ำ “หากเจ้าหวังจะมีค่ำคืนที่งดงามและเร่าร้อน…ข้ายังพอจะให้เจ้าได้ ทว่าหากเลดี้จะหวังความรักจากข้านั้น…สิ่งนั้นข้าคงจะให้เลดี้ไม่ได้และไม่มีวันให้ใครได้อีกแล้ว….” อนาโน่ดึงมือเขาออกจากการเกาะกุมของเมดิสัน ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้องรับรอง พระเจ้า….วันนี้เธอตกหลุมรัก สารภาพรักแล้วก็อกหักในวันเดียวกันเลยเหรอเนี่ย!!!! #ฉันจะจีบพ่อของนางเอกเองค่ะ
ฉันมีความฝัน...แน่นอนว่าทุกคนคงเคยมีความฝันในวัยเด็ก ความฝันว่าเติบโตขึ้นมาแล้วจะทำอาชีพอะไร แต่มีไม่กี่คนหรอกที่จะสามารถทำตามความฝันของตัวเองได้สำเร็จ แต่ตอนนี้ฉันทำสำเร็จแล้ว นิดาขบเม้มริมฝีปาก เธอกำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ออกมา เพราะว่าต้นฉบับที่ถูกส่งไปออดิชั่นกับสำนักพิมพ์มัน..ผ่านแล้ว นิยายของเธอจะถูกตีพิมพ์ในอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ และมันเหมือนกับว่าเธอได้เดินตามความฝันที่ฝ่าฟันมานานได้สำเร็จเสียที “นิดา ฝากออกไปดูโลเคชั่นที่จะถ่ายพรีให้ลูกค้าด้วยนะ” ถึงแม้ว่าฉันจะมีความฝันแต่ฉันก็จะต้องเดินตามความจริงด้วย.. “ได้ค่ะพี่เอื้อ เดี๋ยวหนูแวะไปดูให้ก่อนกลับนะคะ” พี่เอื้อส่งยิ้มมาให้นิดาก่อนจะส่งกระดาษในมือมาให้ “แกต้องไปตอนนี้เลยเพราะว่าลูกค้าอยากถ่ายพรีที่ริมทะเล ขับรถไปตั้งแต่ตอนนี้น่าจะกลับมาทันวันพรุ่งนี้พอดี หรือไม่แกก็ค้างที่นั่นเลย” นิดาส่งยิ้มแห้งๆ ให้กับพี่เอื้อผู้จัดการของเธอ “พี่คะ หนูต้องขับรถไปคนเดียวเหรอคะ คือหนูขับรถออกต่างจังหวัดไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่” พี่เอื้อใช้เวลาคิดอยู่พักหนึ่งพร้อมกับกวาดสายตามองคนอื่นๆ ในออฟฟิต ไม่มีใครที่พอจะว่างและมีสายตาเฉียบคมแบบนิดาเลย ทว่าจะให้น้องมันขับรถไปคนเดียวก็ยังไงๆ อยู่ ในขณะที่เอื้อกำลังใช้ความคิดคุณหนุ่มก็เดินผ่านมาพอดี “บอสคะ ไม่ทราบว่าวันนี้บอสมีประชุมที่ไหนไหมคะ” ดวงตาสีนิลที่ฉายแววลึกล้ำมองหน้าของผู้จัดการที่กำลังร้องขอเขาอยู่ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้มีธุระที่ไหน เพียงแต่เขาแค่อยากจะพักผ่อนสักหน่อย “หากว่าไม่มี นั่งรถไปเป็นเพื่อนนิดาหน่อยได้ไหมคะ น้องมันขับรถได้ แค่คุณหนุ่มนั่งไปเป็นเพื่อนก็พอ” ดะ..เดี๋ยวก่อน นิดาคิดว่าเธอไม่ได้บอกพี่เอื้อสักหน่อยว่าเธอขับรถได้ดีแบบนั้น ถึงจะมีใบขับขี่แต่เธอขับแค่จากคอนโดมาที่ทำงานเท่านั้นเอง.. นี่พี่เอื้อกำลังเอาชีวิตบอสมาฝากเอาไว้กับเธอเนี่ยนะ “พี่เอื้อคะ คือว่า..” “อื้อ เอาสิ หากให้นั่งไปเป็นเพื่อนเพื่อดูโลเคชั่นที่จะถ่ายพรุ่งนี้ผมไปด้วยได้อยู่ ครั้งนี้เป็นงานของลูกสาวท่านเจ้าสัว อันที่จริงผมไม่อยากให้มีเรื่องผิดพลาดไปดูด้วยสายตาน่าจะทำให้ผมสบายใจกับเรื่องนี้ ไปกันเลยไหมนิดา” นิดาทำท่าเหมือนจะร้องไห้ เธอมองหน้าพี่เอื้ออีกครั้ง ซึ่งพี่ผู้จัดการของเธอไม่คิดจะมองหน้าเธอเลยแม้แต่น้อย “คุณหนุ่มรอหนูสักครู่นะคะ เดี๋ยวหนูไปเก็บของที่โต๊ะก่อน” เธอกำลังดีใจที่นิยายของตัวเองผ่านการ ออดิชั่น แต่กลับต้องมาพบเจอเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจเสียนี่ เธอทำงานที่นี่มาสามปี ตั้งแต่เรียนจบก็เข้ามาทำงานที่นี่เลยเพราะว่าเธอชื่นชอบเวลาที่มองเห็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดของผู้หญิงในวันแต่งงาน แถมได้ยืนอยู่ใกล้ๆ กับชุดแต่งงานตลอด เป็นที่ที่ชวนให้มีความสุขทุกครั้งที่นึกถึง หากมองข้ามงานที่ทำสี่สิบแปดชั่วโมงติดต่อกันไปน่ะนะ เพราะว่ากับบางที ต้องรีบจัดเตรียมสถานที่ จัดดอกไม้และจัดงานตามแบบที่เจ้าสาวและเจ้าบ่าววางเอาไว้ให้เสร็จทันกับเวลา เพราะแบบนั้นเธอก็เลยชินกับการอดหลับอดนอนบ่อยๆ นิดาหอบกระเป๋าเอกสารของเธอเพื่อเดินนำคุณหนุ่มมาที่รถ ก่อนจะเปิดประตูรถด้านหลังเพื่อให้เขานั่ง แต่ทว่า..เธอลืมไปว่าสภาพรถของเธอ มัน..รกไปหน่อย “อ๊ะ..ฮะ..ฮ่า! บอสนั่งข้างหน้าได้ไหมคะ” เขาถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูรถของเธอแล้วนั่งลง นิดารีบนำเอกสารที่เธอหอบมาไปวางเอาไว้ที่ด้านหลังรถ ก่อนจะอ้อมมานั่งฝั่งคนขับ ปกติแล้วเธอเดินทางคนเดียว ขับรถไปไหนมาไหนคนเดียว และเพราะแบบนั้นเธอก็เลยไม่ค่อยชินเวลาที่มีคนอื่น..ซึ่งเป็นเจ้านายมานั่งอยู่ในรถคันเดียวกันระยะประชิดแบบนี้ เขา..มีใบหน้าในแบบที่ผู้หญิงคนไหนเห็นต่างก็จะต้องหวั่นไหวไปกับเขา ความหล่อเหลาที่มองราวกับภาพวาด ดวงตาเย็นชาและริมฝีปากที่เชิดรั้นขึ้นมาอย่างเอาแต่ใจ ด้วยใบหน้าแบบนั้นมันทำให้ตอนที่เขาเข้ามารับตำแหน่งผู้บริหารต่อจากท่สนเจ้าของคนเก่า พนักงานที่นี่อยู่ไม่เป็นสุขเลย ทุกคนต่างเกร็งกับบอสสุดหล่อ แต่ทว่าเป็นแบบนั้นได้ราวหนึ่งอาทิตย์เท่านั้น เมื่อเห็นด้านการทำงานที่เข้มงวดและใช้แรงงานพนักงานเยี่ยงทาสแล้ว สาวๆ ในบริษัทต่างก็ถอดใจไปตามๆ กัน พร้อมกับคิดไปในทางเดียวกันว่าใครก็ตามที่ได้คุณหนุ่มเป็นแฟนคือคนซวยแห่งยุค.. เขาใช้ดวงตาสีนิลนั่นจับจ้องมาที่ใบหน้าของเธอ “ดูเหมือนว่าเธอจะขับรถไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่..” “อ่า..มะ..ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ เห็นแบบนี้แต่หนูก็มีใบขับขี่นะคะ” เขาเลิกคิ้วมองหน้าเธอก่อนจะยิ้มที่มุมปาก “งั้นเหรอ แบบนั้นผมจะขอพักสายตาสักครู่นะ หวังว่าเราจะถึงที่หมายอย่างปลอดภัยด้วยการขับรถของเธอ” ดี..ดีมากเลย หลับไปซะเถอะ มาคอยจ้องแบบนี้มีแต่จะทำให้เธอเกร็งเปล่าๆ ช่วยหลับไปตลอดทางและพอถึงที่หมายค่อยตื่นขึ้นมาเถอะ นิดาขับรถมาสักระยะ เธอก็ได้ยินเสียงหายใจที่สม่ำเสมอของเขา เมื่อหันมามองก็พบว่าเขากำลังหลับอยู่ หลับง่ายแบบนั้นเชียว..หรือว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนกันนะ ดูแพรขนตานั่นสิ ขนาดเธอเป็นผู้หญิงยังไม่มีขนตาที่งอนขนาดนั้นเลย นิดาเปิดไฟเลี้ยวก่อนที่เธอจะจอดรถข้างทาง เธอเอื้อมมือไปปรับเบาะเพื่อให้เอนไปด้านหลัง พร้อมกับหยิบผ้าห่มบนเบาะหลังมาห่มให้เขา อันที่จริงเธอมีผ้าปิดตาด้วย..หากว่าปิดให้เขาจะทำให้เขานอนสบายๆ มากกว่านี้ไหมนะ เมื่อคิดได้แบบนั้นนิดาก็หยิบผ้าปิดตาขึ้นมาแล้วใส่ให้เขาอย่างเบามือเพราะว่าเธอกลัวว่าเขาจะตื่น หลังจากนั้นเมื่อมองว่าเขาน่าจะนอนสบายแล้วเธอก็เริ่มขับรถออกมาอีกครั้ง ปลายทางอีกหนึ่งร้อยกิโลนิดๆ หวังว่ากาแฟที่เธอกินไปเมื่อเช้าจะช่วยกันผลักดันให้เธอขับรถถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ ทว่าพอขับรถมาอีกหน่อยนิดาก็เปิดไฟเลี้ยวอีกครั้ง เธอเดินลงจากรถก่อนจะไปเปิดประตูหลังเพื่อหยิบหมอนรองคอมา หลังจากนั้นนิดาก็ค่อยๆ ประคองใบหน้าของเขาขึ้นมาแล้วใส่หมอนรองคอให้เขา อ่า..แบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย เพราะหากเขาตื่นมาแล้วคอเคล็ดละก็ เขาอาจจะมาอารมณ์เสียได้ เธอเคยเป็นบ่อยๆ ทำให้ต้องพกอุปกรณ์การนอนเอาไว้อย่างครบถ้วนในรถ นิดาเริ่มขับรถออกไปอีกครั้ง และเพราะว่าเธอเอาแต่มองด้านหน้ารถทำให
Dear Reader, we use the permissions associated with cookies to keep our website running smoothly and to provide you with personalized content that better meets your needs and ensure the best reading experience. At any time, you can change your permissions for the cookie settings below.
If you would like to learn more about our Cookie, you can click on Privacy Policy.