ราเชล หวัง สาวลูกครึ่งไทยจีนวัยสามสิบห้าปี เธอกำลังยืนมองครอบครัวหนึ่งอยู่ในชุดจีนโบราณ เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ ไม่ต่างอะไรกับผ้าเช็ดโต๊ะ แม่ตาบอดสองข้างกับลูกวัยสามขวบนอนกอดกันอยู่ในวัดร้างท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก มีเพียงฟางแห้งเท่านั้นที่มอบความอบอุ่นให้กับสองแม่ลูกร่างกายผ่ายผอมจนเห็นแต่กระดูก ผู้เป็นแม่นอนป่วยจนแทบไม่มีแรง ลูกน้อยวัยสามขวบที่ยังไม่รู้ ความช่างเป็นภาพที่เห็นแล้วเจ็บปวดใจ จนไม่สามารถทนดูต่อได้ “กริ๊ง....กริ๊ง....” ราเชลลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกจากสมาร์ตโฟนยี่ห้อดัง มือบางรีบคว้าขึ้นมาและเลื่อนปิดเสียงปลุกนั้น “ฝันอีกแล้วสินะ สงสัยจะอ่านนิยายมากเกินไป” ราเชลพึมพำออกมาเบาๆ จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นจากเตียงนอน และเดินไปยังห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว ราเชล หวัง เธอเป็นลูกครึ่งไทยจีน พ่อของเธอถือว่าร่ำรวยอันดับต้นๆ ของแผ่นดินใหญ่ แม่ของเธอเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ครอบครัวทำธุรกิจสิ่งทอที่เจียงหนิง พ่อกับแม่ของเธอจากไปเมื่อห้าปีก่อน ทิ้งให้เธอที่เป็นลูกสาวให้ดูแลธุรกิจ แน่นอนว่าการดูแลบริษัทสิ่งทอขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่ามกลางการแข่งขันทางด้านธุรกิจ และการแข่งขันกับบรรดาญาติฝั่งพ่อ เพื่อให้ได้นั่งตำแหน่งประธานไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะลุง ป้า น้า อา ลูกพี่ลูกน้องทั้งหลาย ล้วนเขี้ยวลากดินกันทั้งนั้น น้ำอุ่นอุณหภูมิที่พอเหมาะไหลออกมาจากฝักบัว ชั่วโมงเร่งด่วนในตอนเช้าอย่างนี้ ราเชลไม่มีเวลามากพอที่จะนอนแช่น้ำ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นประธานบริหาร แต่การเข้าประชุมสายไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นัก เวลานี้มีบริษัทสิ่งทอเกิดขึ้นใหม่มากมาย มีทางเลือกให้ลูกค้า เธอต้องตื่นตัวและหาผ้าใหม่ๆ มีลายใหม่ตลอดเวลา ยิ่งคิดถึงสิ่งที่ต้องถกเถียงกันที่ห้องประชุม ทั้งที่ยังมาไม่ถึง แต่ก็สามารถคาดเดาเหตุการณ์ได้ไม่ยาก แล้วยิ่งทำให้เธอรู้สึกปวดหัว ราเชลจ้องมองปานแดงรูปหงส์ที่หน้าอก ปานแดงนี้ติดตัวของเธอมาตั้งแต่เกิด และที่สำคัญมันอยู่ที่หน้าอกด้านซ้าย ตรงกับตำแหน่งหัวใจ เมื่อเธออายุครบยี่สิบห้า เธอได้ค้นพบว่าปานแดงที่หน้าอกด้านซ้ายของเธอนั้นแสนวิเศษ มันเหมือนกับกระเป๋าเจ้าแมวเหมียวสีฟ้าการ์ตูนชื่อดังแห่งยุค ที่ไม่ว่าเธอจะใส่สิ่งใดลงไป ก็เหมือนกับว่ามันไม่มีวันเต็ม ฉะนั้นเวลาที่เธอไปเที่ยวพักผ่อน ของที่เธอซื้อ ก็จะเก็บด้านในกระเป๋านี้ ด้านในปานแดงนี้ ถือว่ามีทุกอย่าง แม้แต่ทองคำแท่งที่เธอใช้เงินเปลี่ยนให้เป็นทอง สมบัติทั้งหมดที่พ่อกับแม่ของเธอทิ้งเอาไว้ให้เธอ เธอก็ขายเป็นเงินและซื้อทองเก็บไว้ที่ตัวจนหมด เพื่อป้องกันญาติพี่น้องที่จ้องจะแย่งชิงทรัพย์สิน เหลือเพียงบริษัทเท่านั้นที่เธอยังไม่ขาย และยามใดที่เธอตกอยู่ในอันตราย ปานแดงรูปหงส์ของเธอก็จะส่องแสงเตือน ราเชลส่งยิ้มให้กับเหล่าพนักงาน ที่ทักทายเธอตั้งแต่ลานจอดรถ จนเข้ามายังตึกสูง ร่างระหงเดินมาหยุดยังลิฟต์ที่ใช้สำหรับผู้บริหารโดยเฉพาะ ใช้เวลาไม่นานราเชลก็มาถึงห้องประชุม โดยมีเลขาของเธอยืนรออยู่หน้าห้อง “ผู้บริหารทุกคนมาครบแล้วค่ะ ท่านประธาน” ราเชลถอนหายใจออกมา เธอว่าเธอมาเช้าแล้ว คนพวกนี้มาเช้ากว่าเธออีก สี่บริษัทในยุโรปยกเลิกสัญญาไม่ซื้อผ้าจากบริษัทของเธอ นี่นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ วันนี้เธอคงต้องโดนกดดัน ให้มอบเก้าอี้ผู้บริหารสูงสุดให้กับอาของเธอแน่นอน ราเชลเดินเข้ามาในห้องประชุม ที่มีเพียงความเงียบและความกดดัน ผ่านไปกว่าสิบห้านาที ก็ยังไม่มีใครเปิดปากพูดออกมา “สี่บริษัทยกเลิกสัญญา เพียงแค่วันเดียว ตัวเลขในบริษัทลดลงกว่าสามสิบเปอร์เซ็นต์ ราเชล หลานจะอธิบายเรื่องนี้กับ ผู้ถือหุ้น และคณะบริหารทุกคนอย่างไร” ราเชลกวาดสายตามองไปยังผู้ถือหุ้น และคณะบริหารทุกคน จนสายตาของเธอมาหยุดอยู่ที่คนที่นั่งไกลเธอที่สุดทางฝั่งขวามือและเป็นคนที่พูดเปิดเรื่องของวันนี้.....หวังเหล่ย หวังเหล่ยเป็นอาแท้ๆ ของเธอ เป็นน้องชายของพ่อ และยังเป็นน้องชายที่พ่อของเธอรักและไว้ใจที่สุด แต่หลังจากที่พ่อและแม่ของเธอจากไป คุณอาคนนี้กลับเป็นคนที่กดดันและต่อต้านการนั่งเก้าอี้ประธานบริหารของเธอ จนเป็นเหตุให้เธออดสงสัยไม่ได้ ว่าการตายพ่อกับแม่ของเธอ หวังเหล่ยมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย แต่ไม่ว่าเธอจะเพียรพยายามสืบหา เสียเงินให้นักสืบเอกชนก็มาก แต่กลับไม่ได้อะไร ราเชลลุกขึ้นจากเก้าอี้ เธอยืนตัวตรง แล้วโค้งตัวให้กับทุกคนในห้องประชุม “ขอโทษด้วยค่ะ..ที่ครั้งนี้ทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง แต่ขอเวลาให้ฉันสักหน่อย ปัญหานี้ต้องแก้ไขได้อย่างแน่นอน” “เร็วที่สุด?...เร็วที่สุดของท่านประธานคือเมื่อไหร่กัน” หนึ่งในผู้ถือหุ้นพูดขึ้นมา อีกทั้งยังแอบส่งสายตาให้กับ หวังเหล่ยเล็กน้อยเพียงแค่เสี้ยววินาที คนอื่นอาจไม่สังเกตเห็น แต่สำหรับราเชลนั้น ไม่ใช่ ดูท่าแล้วคนในห้องประชุมแห่งนี้ เอนเอียงไปทางฝั่งของอาเธอหลายส่วน “สามวัน...ฉันขอเวลาเพียงแค่สามวัน” แม้ในใจของราเชลอยากจะยกเก้าอี้ แล้วฟาดหัวคนพวกนี้มากเท่าไหร่ แต่เธอก็จำต้องข่มอารมณ์ของตนเอาไว้ เธอไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด เธอจะใจร้อนเอาแต่ใจไม่ได้ บริษัทสิ่งทอแห่งนี้ พ่อของเธอเป็นคนสร้างขึ้นมา จะให้เธอปล่อยมือ เธอก็ทำไม่ได้เช่นกัน “ในเมื่อท่านประธานยืนยันเช่นนั้น พวกเราก็รู้สึกวางใจ” หลังจากที่ทำการตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย ราเชลก็พูดคุยกันเรื่องอื่น ผ่านไปกว่าครึ่งวัน การประชุมถึงจบลง นั่งพักดื่มกาแฟได้เพียงครึ่งแก้ว เลขาของเธอก็เข้ามาแจ้งว่าเธอมีนัดคุยกับลูกค้า ซึ่งเวลานัดนั้นคือบ่ายสอง เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งชั่วโมง เช็กดูเวลานัดและสถานที่ และคำนวณเวลาการเดินทางแล้ว ราเชลแทบจะไม่มีเวลานั่งพักเลยด้วยซ้ำ “ท่านประธานจะให้ซานซานไปพบลูกค้าด้วยหรือไม่คะ” “ไม่ต้อง เธอแค่ส่งข้อมูลลูกค้าและรายละเอียดมาให้ก็พอ” พูดจบราเชลก็ลุกออกจากห้องทำงาน และออกไปทันที ลูกค้าหรือว่าการเจรจาทางด้านธุรกิจ ไม่ว่าจะรายเล็กหรือรายใหญ่ นับว่าสำคัญ การไปถึงก่อนเวลา ถือว่าดีกว่าไปสาย
หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีกำลังกราบไหว้ฟ้าดิน เนื่องจากเป็นการแต่งงานของชาวบ้านธรรมดาอีกทั้งฐานะที่ยากจนของคนทั้งสอง พิธีแต่งงานจึงถูกจัดขึ้นแบบง่าย ๆ แม้ กระทั่งผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวยังหาไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่มีการจัดงานเลี้ยงฉลองงานแต่ง เซี่ยอันผิงเป็นสาววัยยี่สิบที่นับได้ว่าแก่แล้วและยังไม่ออกเรือนเนื่องจากบิดามารดาจากไปเร็ว นางอยู่ในการดูแลของผู้เป็นป้าจึงออกเรือนล่าช้า เนื่องจากเป็นเพียงผู้ที่อาศัยเรือนคนอื่น ทำให้นางตัดสินใจออกเรือนกับเซียวถิงต้วนบุรุษหนุ่มวัยยี่สิบสามปีที่อยู่ข้างบ้าน เซียวถิงต้วนเป็นบุรุษรูปร่างใหญ่เป็นคนเงียบ ๆ ไม่ชอบพูดจา ใบหน้าที่ดูราวกับว่ามีคนติดหนี้เขามาเป็นร้อยชาตินั้นทำให้ไม่มีคนอยากเข้าใกล้ อีกทั้งเขายังเป็นคนที่ยากจนที่สุดในบรรดากลุ่มคนที่มาสู่ขอนาง แต่ป้าของนางกลับเลือกเขา ด้วยเหตุผลที่ว่าเขานั้นตัวคนเดียวไร้ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ให้ต้องคอยดูแล ป้าของนางคิดว่านอกจากเซียวถิงต้วนแล้วนางไม่จำเป็นต้องปรนนิบัติใครอีก สินสอดที่เขามอบให้นั้นเป็นพียงหมูป่าหนึ่งตัวและข้าวสาลีหนึ่งกระสอบ แต่เมื่อเทียบกับสินเดิมของนางที่เป็นน้องชายวัยเจ็ดขวบแล้วจะมีอะไรดีไปมากกว่านี้อีก สำหรับเซี่ยอันผิงแล้วของเพียงแค่เขารับน้องชายของนางด้วยอีกคนนับได้ว่าเพียงพอแล้ว หลังพิธีกราบไหวฟ้าดินแล้ว นางและเซียวถิงต้วนก็พร้อมใจกันยกน้ำชาให้กับญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของนางซึ่งก็มีเพียงป้านั้น นางเห็นป้าของนางแอบยกมือขึ้นเช็ดที่หางตาไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้ เซี่ยอันผิงนั้นถึงแม้ว่าจะเศร้าใจอยู่บ้างแต่นางก็รู้สึกโล่งอกที่ได้ออกเรือนมีครอบครัวเป็นของตนเอง จากนี้ไปป้าจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลใจเรื่องของนาง อีกทั้งนางก็ไม่ต้องคอยหลบลุงเขยที่คิดแต่จะปีนหน้าต่างห้องของนางอีกด้วย ตามธรรมเนียมเจ้าบ่าวต้องอยู่ต้อนรับดื่มเหล้ากับแขกแต่เมื่อไม่มีงานเลี้ยงย่อมไม่มีแขกทั้งสองจึงพร้อมใจจับจูงมือกันไปที่ห้องหอ บ้านหลังเล็กที่ทำจากดินหลังคามุงด้วยหญ้าสาน ในห้องมีเพียงแคร่ที่ทำจากไม้ไผ่วางอยู่ตรงมุมห้อง ด้านบนมีหมอนใบเก่าวางอยู่หนึ่งใบ และผ้าห่มที่ดูไม่ต่างอะไรกับผ้าเช็ดเท้าถูกพับวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ เซี่ยอันผิงหาใช่คนที่กลัวความยากลำบาก เดิมทีนางไม่ใช่คนที่นี่ จะบอกว่าไม่ใช่คนที่นี่ก็ไม่ใคร่จะถูกนักเพราะนางเกิดที่นี่ เพียงแต่ตอนที่นางถือกำเนิดใหม่นั้น นางคงคว่ำชามน้ำแกงยายเมิ่งทิ้ง จึงทำให้มีความทรงจำชาติก่อนติดตัวมาด้วยในชาตินี้ แต่ก่อนบิดามารดาของนางเป็นชาวนามีที่ดินอยู่สามสิบหมู่ เมื่อทั้งสองตายไปได้ทิ้งน้องชายวัยสามเดือนให้นางเลี้ยง ป้าของนางอดสงสารไม่ได้เลยพามาอยู่ด้วย ลุงเขยไม่อยากมีภาระ ดังนั้นทุกวันจึงมักจะพูดจาถากถางให้ป้าปวดใจ นางจึงตัดสินใจขายทรัพย์สินทั้งหมดที่มีแล้วนำเงินที่ได้ยกให้ป้าและลุงเขย จึงทำให้เขาหยุดพูดลงได้ หากถามว่าทำไม่นางไม่ใช้ความรู้ที่ติดตัวจากชาติภพก่อนมาใช้ทำมาหากิน ทำไมนางจะไม่เคยใช้ล่ะ นางเคยใช้แต่ทุกครั้งที่ใช้ผลที่ตามมายากจะคาดเดา ก่อนจะมาเกิดนางเป็นเพียงวิญญาณ เร่ร่อนรอนแรมสำรวจดินแดนแห่งนี้นานกว่าสามเดือน ของดีอยู่ที่ไหนนางรู้หมด แต่ท่านเทพที่ส่งนางมาเกิดบอกว่านางจะใช้ความ สามารถของตนไม่ได้จนกว่าจะชดใช้กรรมเก่าให้หมดเสียก่อน คราแรกนางไม่เชื่อพาพี่ชายไปขุดโสมร้อยปีขายได้เงินมาสร้างบ้าน แต่ไม่นานหลังจากนั้นนางก็ต้องสูญเสียพี่ชาย ครั้งที่สองนางทนความยากจนไม่ไหวคิดหาวิธีจนได้ที่ดินมาทำกิน ต่อมาก็ต้องสูญเสียน้องชาย ยามที่ท่านแม่ตั้งครรภ์น้องชายคนเล็ก ตอนนั้นครอบครัวของนางแทบจะกินรากไม้แทนข้าว นางจึงลองทำการค้าด้วยการปลูกผักขาย ผลที่ตามมาคือมารดาของนางเสียชีวิตตอนคลอดน้อง ชาย เมื่อสิ้นมารดาน้องชายที่เพิ่งเกิดไม่มีนมดื่มกิน นางฝืนโชคชะตาอีกครั้งจับน้องชายใส่ตะกร้าแล้วชวนบิดาไปขุดโสมเพื่อหาเงินมาซื้อนมแพะให้น้องชาย หลังจากนั้นสามเดือนบิดาก็เสียชีวิตไปอีกคน ตอนนั้นนางอายุได้เพียงสิบสามปี เพราะเหลือน้องชายเพียงคนเดียว นางจึงเลิกใช้ความรู้ที่ติดตัวมาจากชาติภพก่อน แม้แต่ตัวอักษรนางก็ไม่ยอมอ่านหรือมอง ความรู้ความสามารถทั้งหมดถูกเก็บพับเอาไว้เพื่อรอจนวันที่นางจะใช้มันได้และรอจนวันที่กรรมของนางจะหมดลง “ดื่มสุรามงคลเถอะ” เสียงทุ้มที่กล่าวขึ้นนั้นฟังดูแหบแห้งเล็กน้อย ดึงให้สติของเซี่ยอันผิงกลับมาอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบัน นางหันไปยิ้มให้กับคนที่ร่วมกราบไหว้ฟ้าดินกับนาง พร้อมกับยื่นมือไปรับถ้วยสุรามาดื่ม ถึงแม้ว่าความทรงจำจากชาติภพก่อนจะบอกว่านางมาจากโลกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีแต่เมื่อนางมาใช้ชีวิตอยู่บนโลกแห่งนี้ทำให้ได้รู้อีกอย่างคือไม่ว่าจะคนหรือสัตว์หากว่าเป็นเป็นสิ่งที่มีชีวิตล้วนหมุนเวียนไปตามกรรมและมีชะตาฟ้าเป็นตัวกำหนด เซี่ยอันผิงรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อนางโดนจับกดลงบนแคร่ไม้ไผ่นางหาได้มีความเขินอายอย่างที่ควรจะเป็น นางเพียงแค่ส่งสายตาเป็นคำถามว่าจะเข้าหอกันตอนนี้หรือตะวันยังไม่ทันได้ตกดินเลยนะ พอคิดได้ดังนั้นใบหน้าของนางก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีจะไม่ให้นางอายได้อย่างไร หากเข้าหอกันเวลานี้จริงพรุ่งนี้นางจะไม่ต้องหาปี๊บคลุมหัวก่อนออกจากบ้านหรือ ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่ามนุษย์ป้าข้างบ้านอีกแล้ว ยังไม่ทันได้หายตกใจใบหน้าของคนที่เป็นสามีก็ก้มลงมาหาเซี่ยอันผิง สิ่งที่สัมผัสได้จากกายเขาตอนแรกนางก็คิดว่าคงจะมีกลิ่นสาบบ้างแต่ปรากฏว่า แม้แต่กลิ่นลมหายใจของเขาไม่ได้มีกลิ่นสาบเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเยื่อไผ่ แม้กระทั่งหมอนที่รองศีรษะของนางในยามนี้ก็มีกลิ่นที่ไม่ต่างกัน แม้ว่าสภาพที่เห็นดูจะเกินเยียวยาแต่ว่ามันไม่มีกลิ่นเหม็นหืนหรือเหม็นสาบเลยสักนิด เซียวถิงต้วนจ้องมองคนที่อยู่ด้านล่างซึ่งกำลังถูกเขารวบกอดเอาไว้ นางเป็นคนที่เขากราบไหว้ฟ้าดินด้วย เขามองนางจ้องลงไปในดวงตากลมโตราวกับผลเหอเถา ริมฝีปากของนางแดงระเรื่อ ใบหน้ามีเค้าความงามแม้ไร้การแต่งแต้ม น่าเสียดายนางนั้นผอมมากเกินไปจนเขาคิดว่า หากแตะต้องหรือจับนางแรงเกินไปกระดูกของนางอาจแตกหักได้
สตรีใบหน้างดงามเป็นเอกมองดูร่างไร้วิญญาณของตนเอง จบสิ้นแล้วความเจ็บปวดที่ได้รับก่อนตาย ไม่รู้ว่าทุกที่เกิดขึ้นเป็นเพราะสวรรค์กำหนดหรือว่าเกิดจากการกระทำของนางเอง ห้าหนาวมารดาจากไป เด็กคนหนึ่งไร้ที่พึ่งพิงบิดาไม่รักใคร่ สตรีทั้งหลายยื้อแย่งเลี้ยงดูนางเพื่อผลประโยชน์ พอเติบโตมาหน่อยนางก็กลายเป็นหมากของผู้คน ความรักไม่สมหวังถูกหลอกลวงและโดนหักหลัง สุดท้ายถูกส่งไปต่างแคว้น การไปอยู่ต่างแคว้นใช่ว่าจะสุขสบาย เมื่อไม่ใช่ที่รักของผู้คนพวกเขาไหนเลยจะสนใจเพราะไร้ประโยชน์ การทำตัวร้ายกาจและดิ้นรนเอาตัวรอดของนางมันผิดนักหรืออย่างไร เฉาชิวเฟินมองดูเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีตของนาง ทุกอย่างหมุนเปลี่ยนเวียนไปตามความรู้สึกนึกคิดของนาง ช่วงเวลาที่นางมีความสุขคือตอนมารดามีชีวิตอยู่ วิญญาณของเฉาชิวเฟินล่องลอยกลับไปยังบ้านเกิด นางไม่แม้แต่อาลัยอาวรณ์ร่างของนางอยู่ในคุกใต้ดินชายแดนของต่างแคว้นเลยสักนิด ภาพของคนพวกนั้นหัวเราะมีความสุขยิ่งสร้างความเจ็บปวดให้แก่นาง จนถึงตอนนี้พวกเขาก็คงไม่รู้ว่านางทรมานก่อนตายอย่างไร ไม่สิถึงพวกเขารู้พวกเขาก็คงไม่ยืนมือเข้าช่วยนาง อีกอย่างสูญเสียนางดีกว่ายอมให้เกิดสงคราม เฉาชิวเฟินหลับตาลงนางไม่อยากเห็นอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว แต่ดูเหมือนตอนมีชีวิตอยู่ นางทำกรรมหนักถึงไม่มีใครมารับดวงวิญญาณของนาง วิญญาณของนางผ่านกาลเวลาจากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่นการใช้ชีวิตของผู้คนเริ่มเปลี่ยนไปตามกาลเวลา วัฒนธรรมเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเปลี่ยน และอะไรอีกหลายอย่างมากมาย กลุ่มคนที่นางเกลียดชังเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่นางยังคงไม่ไปไหน เมื่อไหร่นางจะได้เกิดใหม่กับเขาสักที “องค์หญิงเก้า” ชิวเฟินหันไปมองตามเสียงเรียก นางเห็นชายชราผมขาวมองมายังนางอยู่ก่อนแล้ว รอมานานกว่าหมื่นปีในที่สุดก็มีคนมารับดวงวิญญาณของนาง “ อยู่มานานเพียงนี้ท่านยังปล่อยวางไม่ได้อีกหรือ “ เทพแห่งชะตามองชิวเฟินด้วยสายตายากจะคาดเดา ความจริงแล้วมันเป็นความผิดพลาดขอเขา เขาเพียงแค่รอโอกาสแก้ไขความผิดพลาดของตนเองก็เท่านั้น “ จากวันนั้นถึงวันนี้สิ่งที่ติดค้างในใจของข้าคงมีเพียงแต่ข้าผิดอะไร ” “ท่านเห็นตรงหน้าท่านหรือไม่ระหว่างเกิดใหม่บนโลกของความเท่าเทียม กับการกลับไปเกิดยังที่เดิมท่านจะเลือกอะไร” “หากข้าเลือกได้ข้าอยากกลับไปแก้ไขอดีต หากไม่ใช่เพราะข้าเสด็จแม่คงไม่จากไป เป็นวิญญาณมานานเพียงนี้แต่ข้ากลับไม่เห็นนางเลย” “ในใจของท่านมีความแค้น” “แน่นอนมีใครบ้างไม่โกรธแค้นแต่ที่โกรธมากที่สุดคือตัวของข้าเอง” เทพแห่งโชคชะตาไม่ได้พูดอะไรต่อเขาพาดวงวิญญาณของชิวเฟินไปยังที่ตำหนักเทพของเขา ซึ่งด้านหลังนั้นเป็นป่าท้อผลของมันเป็นสีแดงอมชมพู ชิวเฟิงมองผลท้อเหล่านั้นแล้วนึกอยากกินขึ้นมา หลายปีมานี้นางลืมเลือนรสชาติอาหารไปเสียแล้ว “ป่าท้อนี้ข้าปลูกเองเชียวนะ หากท่านอยากกินข้ามอบให้ท่านสามลูกก็ได้แต่ท่านต้องไปเลือกเอาเองจากต้น “ ชิวเฟินยิ้มให้ชายชราด้วยความดีใจ เพราะไร้บุตรนางจึงไม่มีใครทำบุญให้เหมือนคนอื่น ลูกท้อสามลูกเป็นสิ่งแรกในรอบหมื่นปีของนาง พอกินท้อลูกโตเสร็จนางก็หลับใต้ต้นท้อทันที
อุบัติเหตุในวันนั้นทำให้เธอเสียชีวิต ไฟลุกท่วมทั้งคันรถไม่มีใครรอดจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น ตายแบบศพสวยหน่อยก็ไม่ได้โดนย่างสดอย่างน่าสยดสยอง เธอตายไปแล้วแต่วิญญาณกลับต้องมาสิงอยู่ในร่างของคนที่หมดลมหายใจในเวลาเดียวกันกับเธอ และที่พีคไปกว่านั้นคือเธออยู่ในยุคจีนโบราณแถมยังเป็นโลกคู่ขนานอีกด้วย ...................... นิศาชลลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงง นี่เธอตายไปแล้วหรือว่าหน่วยกู้ชีพฉุกเฉินมาช่วยเหลือไว้ได้ทันกันนะ จำได้ว่าสติครั้งสุดท้ายได้หายไปในขณะที่เธอติดอยู่ในรถโดยสาร ใช่แล้วเธอกำลังเดินทางกลับบ้านในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นวันหยุดยาวของเธอก่อนที่จะเดินทางไปประเทศจีนกับทีมนักประวัติศาสตร์ ซึ่งมีการขุดค้นพบสุสานของจักรพรรดิ และมีข้อสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นสมัยก่อนประวัติศาสตร์สามพันปี ทำให้ผู้คลั่งไคล้ในประวัติศาสตร์อย่างนิศาชลตื่นเต้นที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานสำรวจในครั้งนี้ และแล้วความคิดของนิศาชลก็สะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นมาจากท้ายรถโดยสารคันใหญ่ที่เธอนั่งมา เธอมั่นใจว่านั่นเป็นเสียงระเบิดของถังแก็ส ดูแล้วรถคันนี้นี้คงไม่ได้ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงแน่ ผู้คนที่ร่วมชะตากรรมเดียวกันกับเธอเริ่มวิ่งเบียดเสียดกันไปที่ประตูทางออก เพราะเปลวไฟที่เริ่มลุกไหม้อยู่ด้านท้ายรถ ทุกคนพยายามหนีเอาตัวรอด บ้างพะวงห่วงสัมภาระ อีกทั้งทางเดินแคบ ๆ ภายในรถเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการต่อเอาตัวรอด และไม่น่าเชื่อว่าจะซวยซ้ำสองเพราะประตูที่เป็นทางออกฉุกเฉินกลับเปิดไม่ออกทำให้ผู้โดยสารสารบางรายที่อยู่ทางด้านท้ายรถโดนไฟไหม้ ผู้คนต่างวิ่งมาร่วมกันที่ด้านหน้าเพื่อหนีไฟ ด้วยความแออัดของคนภายในรถที่พยายามหนีตาย จากความร้อนของไฟ บวกกับกลุ่มควันที่ร้อนระอุทำให้นิศาชลหายใจไม่ออกจนกระทั่งหมดสติลงในที่สุด หลังจากนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับรถคันที่เธอโดยสารมา อาจจะมีหน่วยกู้ชีพฉุกเฉินมาช่วยเหลือเอาไว้ได้ทัน หรืออาจโดนย่างสดทั้งคันก็เป็นได้ แต่สิ่งที่นิศาชลรู้ในตอนนี้คือเธอยังไม่ตาย เพราะเธอนั้นรับรู้ได้ถึงลมหายใจของตัวเองแม้ว่าจะบางเบาอยู่มากก็ตาม เธอกระพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับโฟกัสของสายตาให้มองเห็นชัดเจนขึ้น ภาพแรกที่นิศาชลมองเห็นคือหลังคาที่มุงจากหญ้า ไม่สิตอนนี้เธออยู่ที่โรงพยาบาลหลังคาต้องเป็นปูนหรือตีฝ้าเพดานสิถึงจะถูก หรือนี่เป็นนโยบายใหม่ของโรงพยาบาลกันนะ หรือว่าเธอจะหลับนานจนพ่อกับแม่ต้องรับตัวกลับมารักษาอยู่ที่บ้าน แต่ถ้าเป็นที่บ้านหลังคาบ้านก็ต้องไม่เป็นอย่างที่เห็นอยู่ตอนนี้สิ หรือว่าพ่อกับแม่พาเธอมาที่กระท่อมปลายนา เพราะกลัวว่าจะไม่มีใครดูแลจึงพาเธอมาด้วย เมื่อนิศาชลหาข้อสรุปให้กับตัวเองได้แล้วเธอจึงพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งเพื่อจะไปหาพ่อกับแม่ที่ทำนาอยู่ด้านนอก สงสัยว่าเธอจะหลับนานจนเกินไปเมื่อลุกขึ้นยืนจึงรู้สึกร่างของเธอเบาขึ้นกว่าแต่ก่อน ก็ก่อนจะเกิดอุบัติเหตุจำได้ว่าเธอนั้นมีน้ำหนักถึงหกสิบกิโลกรัม เธอก้าวเดินเหมือนคนเมาเหล้าอาจเป็นเพราะนอนนานเกินไป ป่วยแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะรู้สึกว่าตัวเองผอมเพรียวขึ้นมาทันที สงสัยว่าเธอจะหลับไปนานจริง ๆ ร่าง กายไม่ได้รับสารอาหารนานแค่ไหนแล้วนะ ถึงได้ไร้เรี่ยว แรงขนาดนี้ นิศาชลพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีเดินไปที่ประตู แต่กระท่อมปลายนานี้ก็แปลกตาไม่น้อย ตัวกระท่อมทำจากไม้ไผ่ อาจเป็นพ่อของเธอทำขึ้นใหม่ก็เป็นได้ เมื่อเดินผ่านพ้นประตูออกมาสิ่งที่เห็นก็ทำให้ดวงตาของนิศาชลต้องเบิกกว้างนี่มันต้นไผ่ เธอหลับไปนานถึงขนาดที่หมู่บ้านที่ทำนาเป็นอาชีพหลัก ได้เปลี่ยนอาชีพมาปลูกต้นไผ่แทนแล้วเหรอ แถมยังเป็นไผ่หวานแร้งต้นพันธุ์เดียวกับที่มีในประเทศจีนอีกด้วย ในขณะที่นิศาชลกำลังเดินสำรวจป่าไผ่พืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ของหมู่บ้านอยู่นั้นเธอก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อก้มมองแล้วมองเห็นเท้าตัวเองกับชุดที่เธอสวมใส่อยู่ในตอนนี้ นี่มันอะไรกัน ใครเอาชุดแบบนี้มาให้เธอใส่ เมื่อสังเกตุดูเนื้อผ้า วิธีการทอ นักประวัติศาสตร์อย่างนิศาชลต้องเบิกตากว้างอีกครั้งราวกับเห็นของล้ำค้าก็ไม่ปาน ชุดที่เธอสวมอยู่นี้ถึงจะไม่ใช่ผ้าใหม่สีสันสดใส แต่ชุดนี้มันทำมาจากใยบัวชัด ๆ และยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อมองเห็นมือของตัวเองนั้นขาวราวกับหิมะก็ไม่ปาน ตอนนี้สมองอันชาญฉลาดของเธอจึงทำงานอย่างรวดเร็ว โดยวิเคราะห์จากสิ่งที่เห็น นิศาชลเป็นคนอีสาน เป็นคนผิวสองสี และร่างกายค่อนข้างท้วมไม่ได้ผอมบางราวกับกิ่งหลิวแบบนี้ มือเรียวเล็กยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าของตัวเอง จนสะดุดเข้ากับจมูกเล็กโด่งเป็นสัน และนี่เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเธอ นิศาชลเป็นคนจมูกใหญ่และไม่มีดั้ง จมูกเธอไม่ได้โด่งเหมือนกับร่างนี้ เธอตายแล้วจริง ๆ และหวังว่าจะไม่ใช่เรื่องวิญญาณออกจากร่างแล้วทะลุมิติมาหรอกนะ ในขณะที่นิศาชลกำลังสำรวจร่างกายอยู่นั้นเธอก็ต้องยกมือขึ้นกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด พร้อม ๆ กับที่ความทรงจำต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาในหัว อุบัติเหตุในวันนั้นทำให้เธอเสียชีวิต ไฟลุกท่วมทั้งคันรถไม่มีใครรอดจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น ตายแบบศพสวยหน่อยก็ไม่ได้โดนย่างสดอย่างน่าสยดสยอง
Dear Reader, we use the permissions associated with cookies to keep our website running smoothly and to provide you with personalized content that better meets your needs and ensure the best reading experience. At any time, you can change your permissions for the cookie settings below.
If you would like to learn more about our Cookie, you can click on Privacy Policy.